ในตอนที่หุ้นปรับตัวลง สังเกตุมั๊ยว่าเมื่อหุ้นตกไปเรื่อยๆ ข่าวร้ายก็จะออกมาก Support ไปเรื่อยๆ และโบรกเกอร์(หลายๆที่ และ หลายๆประเทศ) ก็จะออกบทวิเคราะห์มา Downgrade หุ้นลง และบวกกับแรงเเทขายมหาศาล(มีทั้งคนที่อ่านแล้วเชื่อ และคนที่ต้องการใช้คนอื่นเชื่อ เป็นคนขาย) ผลลัพธ์ก็คือ ราคาหุ้นก็ร่วงกระจาย เท่าที่ผมสังเกตุมา เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดตอนที่ตลาดปรับฐานด้วย ผมคิดว่าเหตุผลน่าจะมาจาก เวลาที่ปรับฐาน ราคาหุ้นก็ร่วงไปมากอยู่แล้ว(ง่ายต่อการทุบ) จะมีนักเล่นหุ้นที่เทรดไวมาก จะตกใจและขายออกไปก่อน ทีนี้พวกที่ซื้อหุ้นโดยใช้มาร์จินก็เริ่มเดือดร้อน ทีนี้พอโบรกเกอร์ออกบทวิเคราะห์ Downgrade หุ้นออกมาอีก บวกกับแรงขายอันมหาศาล ผลลัพธ์ก็ึิคือ หุ้นร่วง และพอร่วงถึงจุดหนึ่ง พวกที่เล่นมาร์จินก็จะโดน Force Sell ทีนี้ก็ร่วงหนักไปอีก และพวกที่ไม่มีหุ้นแต่อยากได้กำไร ก็ Short หุ้นซะ และแล้ว พอทุกคนร่วมมือกัน ราคาก็ิ่ดิ่งลงสู่เหว กลายเป็นโศกนาฏกรรมร้ายแรงสำหรับนักลงทุน
ผมในฐานะที่ชอบถือยาว ผมชอบเหตุการณ์แบบนี้มาก ไม่ว่าผมจะมีหุ้นตัวนั้นอยู่หรือไม่(บ้าไปแล้ว) เหตุผลคือ การที่อยู่เฉยๆ แล้วราคาจะลงหนักขนาดนี้ คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น นี่แหละเป็นโอกาสทองในการเข้าซื้อหุ้น เพราะมันถูกมาก ส่วนใหญ่เมื่อเกิด Panic Sell ราคาหุ้นมักจะถูกกว่าความเป็นจริง หรือคิดง่ายๆก็คือ Downside มันลดลงกว่าเดิมแล้ว คนที่มีหุ้นอยู่ก็อย่าไปเครียด เพราะเมื่อมีคนทุบ มันหมายความว่าเค้ากำลังจะเข้าไปเก็บ(ถูกมั๊ย ไม่งั้นจะลงทุนทุบทำไม) ถ้าเค้าเก็บจนพอใจแล้ว เค้าก็จะลากมันขึ้นไปเอง และส่วนใหญ่มันก็จะเกินราคาที่วิ่งอยู่ก่อนทุบซะด้วย เพราะ มันเป็นจิตวิทยานะสิ ลองคิดดู สมมติว่าคุณถือหุ้นตัวที่โดนทุบนี้อยู่ ตอนมันราคาปกติ 5 บาท เค้าทุบกันจนเหลือ 2 บาท สุดท้ายเค้าลากกับขึ้นมา 5 บาท คุณว่าตอนนั้นคุณจะขายมั๊ย คุณว่าคนส่วนใหญ่(ที่เจ็บตัวมา)คิดว่ามันจะขึ้นเกินเดิมหรือ ? แสดงว่าตอน 5 บาท Volume ขายจะเยอะมาก และถ้าผมเป็นเจ้ามือ ผมคงไม่ออกตอนนั้น เพราะว่าผมมีหุ้นเยอะ คงออกไม่ทันรายย่อย ผมก็จะรอให้มันลงมาสักนิดนึงก่อน หลังจากนั้นผมจะเก็บเพิ่มพร้อมกับปล่อยข่าวดีออกไป พอหลุดช่วง 5 บาทไปได้ บวกกับข่าวดีมากมายในตลาด ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่น่ากลัวที่สุด เพราะเจ้ามือจะสามารถเลือกกำไรที่อยากได้ และแมงเม่าที่เข้าไปตอนนั้นก็เละ !
วิธีในการช่วยให้คุณกำไรจาก Case นี้คือ อย่างแรกเงินที่คุณเอามาซื้อหุ้น ต้องเป็นเงินเย็น สอง จิตใจคุณต้องมั่งคงพอ และอย่างที่สำคัญ ก่อนซื้อให้คุณคิดว่าเงินก้อนนี้ถ้าเสียไปก็ไม่เป็นไร(บ้าอีกแล้ว) เพราะุถ้าคุณไม่คิดแบบนี้ มันจะทำให้คุณกลัว และขายขาดทุนไปในที่สุด ตอนนี้มันมีแนวทางนึงที่ผมลองใช้แล้วมัน Work คือ สมมติผมมีเงิน 500,000 (เป็นเงินเย็นนะ) ผมจะแบ่งไว้เป็น 10 ก้อน ก้อนละ 50,000 หลังจากนั้นผมจะคอยดูข่าว พอมันเริ่มเข้า Case แบบนี้ ผมก็จะโยนเงินเข้าไป 1 ก้อน แล้วไม่ดูราคาเลย และผมก็จะหาหุ้นแบบนี้ไปเรื่อยๆและทำแบบเดียวกัน โดยตั้งกฏทองเลยว่า ไม่ขายขาดทุน คุณจะสังเกตุได้ว่า หุ้นทุกตัวของคุณมี Dowside แค่ 1 แสนบาท แต่ที Upside ไม่จำกัด ผมว่าถ้าตามหลักสถิติแล้ว โอกาสชนะมันมีมากกว่า และด้วยราคาหุ้นที่ลงมาจากปกติด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้ Downside เนื่องจากราคาหุ้นเองน้อยลงไปอีก แล้วคุณก็ถือต่อไปเรื่อยๆ..... ก็กำไร แต่มันมี Trick อยู่นิดนึงคือ หุ้นที่เลือกนั้นควรจะเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลบ้าง(อย่างน้อยก็น่าจะ 3% และจ่ายสม่ำเสมอ) + เป็นหุ้นที่มี Market Cap. พอสมควร และสุดท้าย(สำคัญที่สุด) เราต้องศึกษาว่ามันมีอนาคตหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น หุ้น TT&T อันนี้เป็นหุ้นโทรศัพท์บ้านตอนนี้แทบไม่เหลืออะไรแล้วเพราะคนใช้มือถือกันหมด(ลองศึกษาดู) ทีนี้เราพูดเวลาซื้อแล้ว เรามาพูดถึงเวลาที่จะขายบ้างดีกว่า ผมจะขายเมื่อราคาหุ้นมันขึ้นแบบ Over มากๆ ตอนนั้นจะมีแต่ข่าวดีเต็มไปหมด PE จะขึ้นไปมากกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดประมาณ 2-3 เท่า ปันผลจะวิ่งเข้าใกล้ 0% ปันผลนี่สำคัญ ถ้าหุ้นขึ้นไปด้วยปัจจัยพื้นฐาน ปันผลก็ต้องขึ้นตามไปด้วย เพราะธุรกิจมันดีขึ้น แต่ถ้าหุ้นขึ้น แต่ปันผลเท่าเดิม(หรือกำไรเท่าเดิม)มันก็ถือว่าเป็นสัญญานเตือนอย่างหนึ่งว่ามันเริ่มจะ Overvalue แล้ว และในเวลานั้น Volume จะมากกว่าเวลาปกติมาก
ตอนนี้ผมลองทำแบบนี้ดูแล้วมัน Work แต่การลงทุนทุกชนิดมันมีความเสี่ยง วิธีนี้เป็นเพียงแนวคิดของผม ซึ่งมันต้องใช้ระยะเวลาในการพิสูจน์ว่าในระยะยาวแล้ว ผลตอบแทนมันสามารถเอาชนะค่าเฉลี่ยของตลาดได้หรือไม่ นักลงทุนที่ดีควรจะศึกษา และ หาแนวทางที่เหมาะกับตัวเอง
รายการบล็อกของฉัน
วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554
หุ้น PTT
จากที่ผมศึกษาหุ้นตัวนี้มา ผมสังเกตุเห็นอยู่อย่างว่า หุ้นตัวนี้มี Market Cap. มากที่สุดในตลาด ดังนั้นเวลาหุ้นตัวนี้ขึ้นหรือลง ตลาดก็จะมีแนวโน็มตามหุ้นตัวนี้ ณ เวลานี้ PTT มี Market Cap. 9 แสนล้าน (19 สิงหาคม 2554) ตอนผมมาศึกษาหุ้นตัวนี้ดูใหม่ๆ ผมคิดอยู่ในใจว่าใครเป็นเจ้าของหุ้นตัวนี้ คนนั้นต้องรวยที่สุดในประเทศแน่ๆ และแล้วผมก็ได้รู้ว่า ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของ PTT คือ กระทรวงการคลัง โอ้โห! ฉะนั้นบอกได้เลยว่า นี่คือรายได้ก้อนใหญ่ของกระทรวงการคลังเลย ลองมาดูปันผลต่อปีคือ(ณ เวลานี้) 3.21% และ Market Cap. อยู่ที่ 9 แสนล้าน กระทรวงการคลังมีหุ้นอยู่ประมาณ 50% พอมาจิ้มเครื่องคิดเลขดูแล้ว ผลปรากฏว่าเงินปันผลที่กระทรวงการคลังได้ ปีละ... 14,445 ล้านบาท(เยอะจัง) พอดูเจ้าของหุ้นแล้ว เราไปดูกิจการที่ PTT ถือหุ้นอยู่บ้าง หลักๆก็มี BCP 22.46%, IRPC 38.65% ,TOP 49.10% ,PTTEP 65.32%, PTTAR 48.40%, PTTCH 48.68% ดูแล้วไม่ธรรมดา(เหมือนจะผูกขาดกิจการน้ำมันในประเทศไทย) ดูๆแล้วก็มี ESSO ที่ PTT ไม่มีหุ้นอยู่(เพราะมันเป็นของ Exxon)
ทีนี้เรามาดูกันว่ามีข่าวอะไรเกี่ยวกับ PTT ในตอนนี้บ้าง เราเริ่มกันที่ข่าวดีก่อนดีกว่า หนึ่งคือ กำไรของ PTT ตอนนี้ รวม 2 ไตรมาส 67,000 ล้านบาทซึ่งนับว่าสูง เมื่อเทียบกับปีก่อน ตอนนี้ผมนึกได้เท่านี้ครับ(555) อ่าวทีนี้เรามาดูข่าวร้าย(อาจจะมีเยอะหน่อย) เรื่องแรกเลย คือ ไม่นานมานี้เกิดเหตุท่อก๊าซรั่วที่อ่าวไทย ซึ่งทำให้ PTT ต้องรับภาระการนำเข้าน้ำมันเตาเพื่อป้อนให้โรงไฟฟ้า เรื่องที่สอง คือ ราคาน้ำมันดัิบตอนนี้ ที่ดิ่งลมมาอย่างแรง ทำให้มีการคาดการณ์ว่าจะขาดทุนจาก Stock น้ำมัน และเรื่องสุดท้าย(ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันรึเปล่า แต่เคยอ่านเจอบทวิเคราะห์สำนักหนึ่งบอกไว้) ว่าปีนี้ PTT จะลดงบลงทุนลงซึ่งทำให้นักลงทุนคิดว่า กำไรจะไม่โตในอัตราที่สูง ทั้งหมดก็เป็นข่าวดีและข่าวร้ายเบื้องต้นที่ผมเอามาเขียนให้ แต่ถ้าอยากลงลึกกว่านี้ลอง Search ดู (มีเยอะมาก) แต่เอาเป็นว่าภาพรวมในตอนนี้มีข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี รวมทั้งตอนนี้ตลาดหุ้นมีการปรับฐาน ทำให้ราคาหุ้น PTT ยิ่งลงไปใหญ่
ถ้ามองภาพด้วยความใจเย็น และมีความตั้งใจที่จะลงทุนระยะยาว ผมว่านี่เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะเวลามีข่าวร้ายเยอะบวกกับการปรับฐาน ราคาหุ้นมักจะตกลงไปมากกว่าความเป็นจริง (Panic Sell) และนี่แหละเป็็นโอกาสในการซื้อของถูก แต่เราต้องมั่นใจว่าธุรกิจนั้นเป็นธุรกิจที่มั่นคง ไม่เจ๊งง่ายๆ แล้วพอเราซื้อแล้วเราต้องทำใจได้กับราคาหุ้นที่อาจจะลงไปอีก เพราะเวลาคน Panic ตอนนั้นคนจะไม่สนใจอะไรแล้ว ขอให้ขายได้เป็นพอ ดังนั้นเราซื้อหุ้นแล้วเราต้องทำใจไว้ก่อนเลยว่าจะต้องลงอึก (มันจะทำให้เราสบายใจขึ้น) อย่าพยายามซื้อที่จุดต่ำสุด เพราะมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก(ต้องดวงเฮงเท่านั้น) และดูจากตอนนี้ Dividend อยู่ที่ 3.21% PE 9 กว่าๆ เทียบกับค่าเฉลี่ยตลาดแล้วถือว่าถูก และความมั่นคงของหุ้นก็ดูได้จากการ ผู้ถือหุ้นใหญ่ และพฤติกรรมการใช้พลังงานของมนุษย์ครับ
ทีนี้เรามาดูกันว่ามีข่าวอะไรเกี่ยวกับ PTT ในตอนนี้บ้าง เราเริ่มกันที่ข่าวดีก่อนดีกว่า หนึ่งคือ กำไรของ PTT ตอนนี้ รวม 2 ไตรมาส 67,000 ล้านบาทซึ่งนับว่าสูง เมื่อเทียบกับปีก่อน ตอนนี้ผมนึกได้เท่านี้ครับ(555) อ่าวทีนี้เรามาดูข่าวร้าย(อาจจะมีเยอะหน่อย) เรื่องแรกเลย คือ ไม่นานมานี้เกิดเหตุท่อก๊าซรั่วที่อ่าวไทย ซึ่งทำให้ PTT ต้องรับภาระการนำเข้าน้ำมันเตาเพื่อป้อนให้โรงไฟฟ้า เรื่องที่สอง คือ ราคาน้ำมันดัิบตอนนี้ ที่ดิ่งลมมาอย่างแรง ทำให้มีการคาดการณ์ว่าจะขาดทุนจาก Stock น้ำมัน และเรื่องสุดท้าย(ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันรึเปล่า แต่เคยอ่านเจอบทวิเคราะห์สำนักหนึ่งบอกไว้) ว่าปีนี้ PTT จะลดงบลงทุนลงซึ่งทำให้นักลงทุนคิดว่า กำไรจะไม่โตในอัตราที่สูง ทั้งหมดก็เป็นข่าวดีและข่าวร้ายเบื้องต้นที่ผมเอามาเขียนให้ แต่ถ้าอยากลงลึกกว่านี้ลอง Search ดู (มีเยอะมาก) แต่เอาเป็นว่าภาพรวมในตอนนี้มีข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี รวมทั้งตอนนี้ตลาดหุ้นมีการปรับฐาน ทำให้ราคาหุ้น PTT ยิ่งลงไปใหญ่
ถ้ามองภาพด้วยความใจเย็น และมีความตั้งใจที่จะลงทุนระยะยาว ผมว่านี่เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะเวลามีข่าวร้ายเยอะบวกกับการปรับฐาน ราคาหุ้นมักจะตกลงไปมากกว่าความเป็นจริง (Panic Sell) และนี่แหละเป็็นโอกาสในการซื้อของถูก แต่เราต้องมั่นใจว่าธุรกิจนั้นเป็นธุรกิจที่มั่นคง ไม่เจ๊งง่ายๆ แล้วพอเราซื้อแล้วเราต้องทำใจได้กับราคาหุ้นที่อาจจะลงไปอีก เพราะเวลาคน Panic ตอนนั้นคนจะไม่สนใจอะไรแล้ว ขอให้ขายได้เป็นพอ ดังนั้นเราซื้อหุ้นแล้วเราต้องทำใจไว้ก่อนเลยว่าจะต้องลงอึก (มันจะทำให้เราสบายใจขึ้น) อย่าพยายามซื้อที่จุดต่ำสุด เพราะมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก(ต้องดวงเฮงเท่านั้น) และดูจากตอนนี้ Dividend อยู่ที่ 3.21% PE 9 กว่าๆ เทียบกับค่าเฉลี่ยตลาดแล้วถือว่าถูก และความมั่นคงของหุ้นก็ดูได้จากการ ผู้ถือหุ้นใหญ่ และพฤติกรรมการใช้พลังงานของมนุษย์ครับ
วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554
หุ้นกลุ่มพลังงาน
ช่วงนี้ เป็นช่วงปรับฐานของตลาดหุ้น ทั้งไทยและต่างประเทศ มีอีกอย่างหนึ่งที่ปรับฐานด้วยเหมือนกันคือ ราคาน้ำัมัน ตอนนี้เหลือประมาณ 85 เหรียญนิดๆ
ดูจากกราฟแล้ว ช่วงที่ลงหนักๆเลยก็ปี 2008 ลงจาก 140 เหลือ 30 เหรียญ ตอนนี้คนทั่วไปก็คงจะมองว่า ราคาจะลงจาก 110 เหรียญ เหลือพอๆกับตอนปี 2008 ในความเห็นผม ผมคิดว่า ไม่น่าจะลงถึงขนาดนั้น เหตุผลคือถ้าดูจากกกราฟช่วงปี 2008 จะเห็นว่าน้ำมันนั้นมันขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน มันเป็นหลักธรรมชาติ คือเวลามันจะร่วงมันจะร่วงแรงเหมือนกัน(ไม่เชื่อเด๋วดูทอง) แต่การร่วงในครั้งนี้ ลองคิดในมุมเหตุและผล คุณคิดว่าคนอื่นจะคิดเหมือนคุณหรือไม่ว่า ราคาจะลงไปเหมือนตอน 2008 ทุกคนเปิดกราฟแล้วก็เห็นแบบนั้น (แดงเถือก) ผมเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่คิด ฉะนั้นในมุมนี้ผมว่าเมื่อไม่มีคนอยากซื้อแสดงว่าตอนนี้ราคาน้ำมันถูก แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ลงอีกนะ (ถ้าทำนายได้แม่นจริง ก็คงรวยไม่รู้เรื่องแล้ว) ในมุมมองของผม ผมว่าตอนนี้หุ้นพลังงานน่าสนใจมาก ถ้าเอาให้ safe สุดในกลุ่มพลังงานก็ PTT เำพราะกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่เยอะมาก ยังไงเค้าก็อยู่ข้างเรา และตอนนี้ PTT มีข่าวร้ายมากระทบเยอะอย่างเช่นท่อก๊าซรั่ว ขาดทุน stock น้ำมัน ราคา NGV ขึ้นไม่ได้ นี่แหละเป็นเวลาที่น่าซื้อที่าสุด อีกตัวก็ IRPC ข่าวร้ายก็เยอะพอๆกัน เช่น ราคาปิโตรเคมีที่เป็นขาลง และ Q4 จะปิดปรับปรุงโรงงาน หรืออื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ราคาหุ้นยังไม่ค่อยไปไหน หุ้น 2 ตัวนี้ถ้าดูจากเงินปันผลที่ได้ จะอยู่ที่ประมาณ 3%กว่าๆ และ PE อยู่ที่ ประมาณ 10-11 (ราคา ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2554) ผมว่าน่าสนใจทีเดียว
มุมมองในอนาคตของราคาน้ำมัน หลายๆคนพูดว่าในอนาคตรถยนต์จะเปลี่ยนไปใช้พลังงานไฟฟ้า ไนมุมมองของผม ผมคิดว่า การจะเปลี่ยนโครงสร้างของระบบยานยนต์ คงต้องใช้เวลา และเงินทุนมหาศาล ในการเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น ยอดขายรถยนต์ในตอนนี้ (แถบเอซีย) มีมหาศาลมาก เอาแค่จีนประเทศเดียวก็สุดๆแล้ว หรืออย่างประเทศไทยก็ทุบสถิติเก่าอีก ทั้งที่เศรษฐกิจไม่ได้ดีมาก แล้วรถยนต์ที่ขายออกไปตอนนี้ อย่างน้อยก็มีอายุการใ้ช้งานประมาณ 5 ปี รถพวกนี้ยังต้องใช้น้ำมันอยู่ ดังนั้นอย่างน้อยเราจะต้องเห็นปั๊มน้ำมันต่อไปอีก 5 ปี ส่วนรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีรุ่นใหม่ๆ อย่างเช่น Hybrid, Fuel Cell ,อื่นๆอีกมากมาย ก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก เพราะมีราคา และค่า Maintenance ที่สูง หรือถ้าอย่างพลังงานทดแทน(น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด) ก็คือ แก๊สโซฮอล กับ ไบโอดีเซล ตอนนี้ก็มี BCP ก็ทำด้านพลังงานทดแทนอยู่ (PTT ถือหุ้น BCP อยู่ประมาณ 22%) ผมจึงยังมองว่าหุ้นกลุ่มพลังงานยังมี Upside ได้อีก
แล้วเราจะรู้ไ้ด้อย่างไรว่าควรขายช่วงไหน คำตอบง่ายๆคือ ขายตอนมันแพงเกินความจริงไปมาก ซึ่งก็คือตอนที่มันเกิด ฟองสบู่ นั่นเอง วิธีสังเกตุว่าเป็นฟองสบู่หรือไม่ ดูไม่ยาก เช่น จะเป็นช่วงที่คนแย่งกันเข้าไปซื้ออย่างน่าตกใจ และบทวิเคราะห์ก็จะให้ราคาเป้าหมายเกินความเป็นจริงไปมาก อย่างก่อนเดิน Subprime ครั้งที่ผ่านมา ถ้าดูจากกราฟจะเห็นว่าราคาน้ำมัันวิ่งมาแบบไม่หวือหวามาก จากนั้นย่อก่อนครั้งนึง แล้วก็พุ่งแบบหยุดไม่อยู่ ตอนราคา 140 เหรียญ ผมจำได้ว่า นักวิเคราะห์ทุกสำนักให้ราคาเป้าหมาย 200 เหรียญกันหมด และมีแต่ข่าวดีต่อราคาน้ำมันทั้งนั้น(ลอง search ดู จะเจอ) หาข่าวร้ายแทบไม่เจอ และ คิวติดแก๊ส รอนานมาก(อันนี้สังเกตุเอาจากประเทศไทย.. ^_^) นี่แหละคือสัญญานบอกฟองสบู่ ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ ผมจะรู้สึกไม่สบายใจ และขายหุ้นออกมา หลังจากนั้นผมจะไปหา Sector ที่เป็น Downtrend ดูเหมือนจะบ้า แต่ผมว่ามันทำให้ผมรอดพ้นจากตกเหวได้
สรุป หุ้นกลุ่มพลังงานในความคิดผม ตอนนี้มันอยู่ใน Uptrend จริง แต่ราคายังไม่ไปไหนเท่าไร ทั้งตัวราคาน้ำมันเอง และตัวหุ้นที่มีข่าวร้ายอยู่อย่าง PTT แลพ IRPC ดังนั้นผมว่าหุ้นยังมี Upside ได้อีกเยอะ และจาก PE กับ Dividend Yield ที่บอกสนันสนุนว่า หุ้นยังราคาถูกนั้น มันเป็นเหตุผลที่ผมกำลังจะซื้อหุ้นกลุ่มนี้
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ข้อควรรู้ในการเล่นหุ้น
แนวในการเล่นหุ้นหลักๆมี 3 แนว 1.VI 2. Thecnical 3.มั่ว จากประสบการณ์ของผม แนวมั่วน่าจะมีมากที่สุด(ดูจากเวบบอร์ด) ต่างๆยกตัวอย่างแนวมั่ว คือหุ้น ABC มีผลประกอบการณ์คาดว่าจะโต 25% จากปีที่ผ่านมา และอนาคตของกิจการนี้ก็ดูดี ราคาหุ้น ณ วันที่ซื้อคือ 20 บาท หลังจากนั้นผ่านไป
ราคาหุ้นก็ตกลงมาเนื่องจากการปรับฐาน ราคาหุ้นลงเหลือ 15 บาท คนที่เล่นแนวมั่วจะเข้ามาถามความเห็นจากกูรูทั้งหลายว่า ควร Cut Loss ที่เท่าไรดี(นี่คือตัวอย่างการเข้าแบบ VI แต่ออกแบบ Thecnical) หรืออีกตัวอย่างก็คือ เข้าแบบ Thecnical แต่ออกแบบ VI เช่นหุ้น XYZ ราคาทำ Bullish Divergence และ RSI ผ่าน 30 ขึ้นมาแล้ว ซื้อที่ราคา 10 บาท ตั้ง Cut Loss ไว้ 9 บาทสุดท้ายไม่เป้นไปอย่างที่คิด ราคาลงมาเหลือ 8 บาท ตอนนั้นคนที่เล่นแนวมั่วว่า "เอาน่า หุ้นตัวนี้พื้นฐานดี ไม่เป็นไรหรอกเด๋วก็ขึ้น"
สรุปว่าหลักสำคัญของการเล่น VI คือวิเคราะห์พื้นฐานทางธุรกิจ และดูพื้นฐานของธุรกิจนั้นในอนาคตด้วย และเมื่อซื้อแล้วหุ้นลง เราก็ควรจะซื้อเพิ่มเมื่อมีเงินเพราะมันเป็นธุรกิจที่เราศึกษามาอย่างดีแล้ว และเรารู้ว่ามันต่ำกว่ามูลค่าของมันจริงๆ ราคายิ่งลงมาเรายิ่งควรซื้อเพิ่มเพราะมันถูกลงเรื่อยๆแต่ Thecnical มันคือการเอาสถิติมาทำนายรูปแบบของราคา ดังนั้นโอกาสที่จะไม่เป็นอย่างที่สัญญานต่างๆบอก ก็มีโอกาสสูง คือ Thecnicalมันบอกได้ว่ามีโอกาสขึ้นมากกว่าลง เท่านั้น! ดังนั้นถ้ามันผิดทางก็ Cut Loss ออกไป ไม่ใช่ Let Loss Run
ข้อสังเกตุอย่างหนึ่งของคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นคือ ต้องการที่จะรวย(เร็ว) แล้วสุดท้ายก็เจ๊งไปส่วนใหญ่ ถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็เข้ามาด้วยอารมณ์ไม่อยากรวย คือเล่นเหุ้นเพราะอยากมีพอกินพอใช้ ไม่จำเป็นต้องรวย แต่ขอให้เงินก้อนนี้มันเลี้ยงเราได้ ก็พอใจแล้ว โดยปกติกูรูแนว VI หลายๆท่านบอกไว้ว่าให้หวังกำไรจากตลาดหุ้น 15% ต่อปีก็ถือว่าหรูมากแล้ว (ตลาดหุ้น DJI ระยะยาวเฉลี่ยนประมาณ 10% และ Warren Buffet 29%แต่ขณะนี้ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2554 ไม่รู้ว่าผลตอบแทนของ Warren จะเหลือเท่าไร)
จะเล่นแนวไหน ก็ต้องลองดู เพราะสุดท้ายการอ่านก็ช่วยคุณไม่ได้ 100% ไม่งั้นคงไม่มีคนขาดทุนจากการเล่นหุ้น ข้อแนะนำที่ดีที่สุด ก็คือลองเล่นเลย แล้วคุณจะรู้ว่าแนวไหนเหมาะกับตัวคุณ สำคัญที่อย่ามั่ว!
ราคาหุ้นก็ตกลงมาเนื่องจากการปรับฐาน ราคาหุ้นลงเหลือ 15 บาท คนที่เล่นแนวมั่วจะเข้ามาถามความเห็นจากกูรูทั้งหลายว่า ควร Cut Loss ที่เท่าไรดี(นี่คือตัวอย่างการเข้าแบบ VI แต่ออกแบบ Thecnical) หรืออีกตัวอย่างก็คือ เข้าแบบ Thecnical แต่ออกแบบ VI เช่นหุ้น XYZ ราคาทำ Bullish Divergence และ RSI ผ่าน 30 ขึ้นมาแล้ว ซื้อที่ราคา 10 บาท ตั้ง Cut Loss ไว้ 9 บาทสุดท้ายไม่เป้นไปอย่างที่คิด ราคาลงมาเหลือ 8 บาท ตอนนั้นคนที่เล่นแนวมั่วว่า "เอาน่า หุ้นตัวนี้พื้นฐานดี ไม่เป็นไรหรอกเด๋วก็ขึ้น"
สรุปว่าหลักสำคัญของการเล่น VI คือวิเคราะห์พื้นฐานทางธุรกิจ และดูพื้นฐานของธุรกิจนั้นในอนาคตด้วย และเมื่อซื้อแล้วหุ้นลง เราก็ควรจะซื้อเพิ่มเมื่อมีเงินเพราะมันเป็นธุรกิจที่เราศึกษามาอย่างดีแล้ว และเรารู้ว่ามันต่ำกว่ามูลค่าของมันจริงๆ ราคายิ่งลงมาเรายิ่งควรซื้อเพิ่มเพราะมันถูกลงเรื่อยๆแต่ Thecnical มันคือการเอาสถิติมาทำนายรูปแบบของราคา ดังนั้นโอกาสที่จะไม่เป็นอย่างที่สัญญานต่างๆบอก ก็มีโอกาสสูง คือ Thecnicalมันบอกได้ว่ามีโอกาสขึ้นมากกว่าลง เท่านั้น! ดังนั้นถ้ามันผิดทางก็ Cut Loss ออกไป ไม่ใช่ Let Loss Run
ข้อสังเกตุอย่างหนึ่งของคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นคือ ต้องการที่จะรวย(เร็ว) แล้วสุดท้ายก็เจ๊งไปส่วนใหญ่ ถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็เข้ามาด้วยอารมณ์ไม่อยากรวย คือเล่นเหุ้นเพราะอยากมีพอกินพอใช้ ไม่จำเป็นต้องรวย แต่ขอให้เงินก้อนนี้มันเลี้ยงเราได้ ก็พอใจแล้ว โดยปกติกูรูแนว VI หลายๆท่านบอกไว้ว่าให้หวังกำไรจากตลาดหุ้น 15% ต่อปีก็ถือว่าหรูมากแล้ว (ตลาดหุ้น DJI ระยะยาวเฉลี่ยนประมาณ 10% และ Warren Buffet 29%แต่ขณะนี้ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2554 ไม่รู้ว่าผลตอบแทนของ Warren จะเหลือเท่าไร)
จะเล่นแนวไหน ก็ต้องลองดู เพราะสุดท้ายการอ่านก็ช่วยคุณไม่ได้ 100% ไม่งั้นคงไม่มีคนขาดทุนจากการเล่นหุ้น ข้อแนะนำที่ดีที่สุด ก็คือลองเล่นเลย แล้วคุณจะรู้ว่าแนวไหนเหมาะกับตัวคุณ สำคัญที่อย่ามั่ว!
วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554
จังหวะในการเข้าซื้อหุ้น
จังหวะในการซื้อหุ้นเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ของการลงทุนในหุ้น อย่างเช่น VI วิเคราะห์(จินตนาการ) ธุรกิจได้แม่นยำขนาดไหน ถ้าเข้าผิดจังหวะมันก็ทำให้พอร์ตเรามีสีแดงนานเหมือนกัน ยกตัวอย่างหุ้น PTT สมมติว่าผมวิเคราัะห์แล้วว่าในอนาคต PTT ต้องโตอีกเยอะมาก ราคาหุ้นแค่ 400 กว่าๆถือว่าถูก หลังจากวิเคราะห์เสร็จผมก็เข้าซื้อทันทีเลย ปรากฏว่าราคา ณ วันนี้เหลือ 300 ต้นๆ ถามว่าในอนาคต PTT มีความน่าจะเป็นที่ราคาจะเกิน 400 มั๊ย ผมว่ามีสูง เหตุผลที่ง่ายๆเลยคือ เงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจไม่ต้องโตเพิ่มเลย แต่ มันก็ทำให้กำไรโตได้ (เริ่มงง *_*) เอาตัวอย่างดีกว่า สมมติบริษัท ABC มีกำไร 100 ล้านต่อปี เงินเฟ้อเฉลี่ย 5 % ต่อปี กำไรต่อปี(ไม่โตเลยนะ กำไรเท่าปีที่แล้ว) 100 ล้านบวกเงินเฟ้อ 5 % จะกลายเป็น 105 ล้านบาท เห็นมั๊ย ธุรกิจไม่ต้องขยายการลงทุนเพิ่มเลย รอเงินเฟ้ออย่างเดียว ก็สามารถลงข่าวได้แล้วว่ากำไรโตกี่เปอร์เซ็น เมื่อเทียบกับ ไตรมาส หรือ ปีที่ผ่านมา แต่ถ้าธุรกิจนั้นมีเงินสดในมือสูง มีการขยายธุรกิจในอัตราส่วนที่สูง บวกกับเงินเฟ้อเข้าไป มันจะโตขนาดไหน
กลับมาที่เรื่องของจังหวะในการซื้อ ถ้าคุณซื้อ PTT 400 บาท โอเค ในอนาคตมันกำไีร แต่ตอนนี้มันแดง(ไม่น่ารื่นนมย์เท่าไหร่นัก) ฉะนัั้นให้ธุรกิจดีขนาดไหน ผมว่า รอจังหวะตอนมันมีข่าวร้าย เช่นตอนนี้มี วิกฤติเศรษฐกิจจากฝั่งตะวันตกเกือบทุกประเทศ มีจราจลมากมาย สหรัฐโดนลดเรตติ้ง โอ้โห ข่าวร้ายทั้งน้าน คนส่วนใหญ่คิดว่าเวลานี้ไม่น่าซื้อหุ้นอย่างยิ่ง (น่าซื้อทองมากกว่า ไม่เชื่อดูราคา ขึ้นวันละ 50 เหรียญ เกิดมาไม่เคยเห็น) แต่ตามหลัก ตรรกะศาสตร์+Demand&Supply แล้ว เมื่อไม่มีคนอยากซื้อ แสดงว่าตอนนี้ราคาถูกแล้ว เราก็เข้าซื้อบริษัทที่เราจินตนาการว่ามันดี เราก็เข้าซื้ออย่างใจเย็น และแล้วมันก็จะลงไปอีก(5555) จริงครับ เพราะคุณคาดการณ์ไม่ได้หรอกว่าราคาที่คุณซื้อนั้นมันต่ำที่สุดรึยัง แค่ตอนที่คุณซื้อนั้นคุณคิดว่า Upside มันเพิ่มมากกว่าเวลาปกติก็พอแล้ว และเมื่อดูโปรโมชั่นที่แถมมา อย่างปันผล 3% กว่า PE ต่ำกว่า 10 มันก็น่าสนใจแล้ว
สรุป เวลาซื้อหุ้นเราควรจะซื้อในเวลาที่ เข้าไปอ่านในหนังสือพิมพ์ หรือ บอร์ดต่างๆ แล้วคุณรู้สึกว่าโอ้โห ทำไมโลกแห่งการลงทุนในหุ้นนั้นมันช่างหดหู่ได้ถึงเพียงนี้ หาข่าวดีไม่ได้เลยหรือ นั่นแหละแปลว่า หุ้นถูก แต่มันมีข้อแม้ว่า เมื่อคุณซื้อเสร็จ ราคามันอาจจะลงไปอีกได้ เพราะมันเป็นขาลงของหุ้น อันนั้นคุณต้องมีความเข้มแข็งในจิตใจสูง นั่นเป็นเหตุผลที่ต้องจินตนาการก่อนเล่นหุ้น ไม่ใช่เชื่อคนอื่น(อ่านมาแล้วซื้อตาม) แต่ผมการันตีได้ว่า การซื้อหุ้นในขาลงมันถูกกว่าซื้อหุ้นในขาขึ้นแน่นอน ไม่เชื่อลองดู ว่าแต่จะทำใจได้รึเปล่้า ยิ่งซื้อยิ่งลง แต่ถ้าทำได้ ผมว่าคุณรวย (ลองอ่านประวัติ กูรู VI ดู เค้ารวยมาจากวิกฤติทั้่งนั้นแหละครับ)
กลับมาที่เรื่องของจังหวะในการซื้อ ถ้าคุณซื้อ PTT 400 บาท โอเค ในอนาคตมันกำไีร แต่ตอนนี้มันแดง(ไม่น่ารื่นนมย์เท่าไหร่นัก) ฉะนัั้นให้ธุรกิจดีขนาดไหน ผมว่า รอจังหวะตอนมันมีข่าวร้าย เช่นตอนนี้มี วิกฤติเศรษฐกิจจากฝั่งตะวันตกเกือบทุกประเทศ มีจราจลมากมาย สหรัฐโดนลดเรตติ้ง โอ้โห ข่าวร้ายทั้งน้าน คนส่วนใหญ่คิดว่าเวลานี้ไม่น่าซื้อหุ้นอย่างยิ่ง (น่าซื้อทองมากกว่า ไม่เชื่อดูราคา ขึ้นวันละ 50 เหรียญ เกิดมาไม่เคยเห็น) แต่ตามหลัก ตรรกะศาสตร์+Demand&Supply แล้ว เมื่อไม่มีคนอยากซื้อ แสดงว่าตอนนี้ราคาถูกแล้ว เราก็เข้าซื้อบริษัทที่เราจินตนาการว่ามันดี เราก็เข้าซื้ออย่างใจเย็น และแล้วมันก็จะลงไปอีก(5555) จริงครับ เพราะคุณคาดการณ์ไม่ได้หรอกว่าราคาที่คุณซื้อนั้นมันต่ำที่สุดรึยัง แค่ตอนที่คุณซื้อนั้นคุณคิดว่า Upside มันเพิ่มมากกว่าเวลาปกติก็พอแล้ว และเมื่อดูโปรโมชั่นที่แถมมา อย่างปันผล 3% กว่า PE ต่ำกว่า 10 มันก็น่าสนใจแล้ว
สรุป เวลาซื้อหุ้นเราควรจะซื้อในเวลาที่ เข้าไปอ่านในหนังสือพิมพ์ หรือ บอร์ดต่างๆ แล้วคุณรู้สึกว่าโอ้โห ทำไมโลกแห่งการลงทุนในหุ้นนั้นมันช่างหดหู่ได้ถึงเพียงนี้ หาข่าวดีไม่ได้เลยหรือ นั่นแหละแปลว่า หุ้นถูก แต่มันมีข้อแม้ว่า เมื่อคุณซื้อเสร็จ ราคามันอาจจะลงไปอีกได้ เพราะมันเป็นขาลงของหุ้น อันนั้นคุณต้องมีความเข้มแข็งในจิตใจสูง นั่นเป็นเหตุผลที่ต้องจินตนาการก่อนเล่นหุ้น ไม่ใช่เชื่อคนอื่น(อ่านมาแล้วซื้อตาม) แต่ผมการันตีได้ว่า การซื้อหุ้นในขาลงมันถูกกว่าซื้อหุ้นในขาขึ้นแน่นอน ไม่เชื่อลองดู ว่าแต่จะทำใจได้รึเปล่้า ยิ่งซื้อยิ่งลง แต่ถ้าทำได้ ผมว่าคุณรวย (ลองอ่านประวัติ กูรู VI ดู เค้ารวยมาจากวิกฤติทั้่งนั้นแหละครับ)
ความถูกแพงของหุ้น
ในการดูความถูกหรือแพงของหุ้นนั้นมีหลายอย่างมาก เช่น PE , PBV ,Divinded ,และ อื่นๆ อีกมากมาย
ยกตัวอย่าง BECL หุ้นตัวนี้ PE,PBV ต่ำ และในปันผลที่สูง อย่างงี้เรียกว่าหุ้นถูกรึเปล่า ก็อยู่ที่มุมมองว่าคาดการณ์กำไรในอนาคตของบริษัทว่าเป็นอย่างไร เช่นผมมองว่า ในอนาคตรายได้จากค่าผ่านทางจะต้องถูกแบ่งให้รัฐบาล ส่งผลทำให้กำไรของบริษัทลดลง และ การที่จะลงทุนเพิ่มต้องใช้จำนวนเงินมาก ดังนั้นผมจึงมองว่าหุ้นไม่ได้ถูก ทั้งที่ PE , PBV ตำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดมาก
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ตัวไหนมันบอกได้จริงๆ่ว่า หุ้นมันถูก คำตอบก็คือไม่มีตัวไหนที่ทำแบบนั้นได้ 100% หรอกครับ ไม่งั้นการเล่นหุ้นคงง่ายพิลึก เช่น เลือกหุ้นตัวที่ PE ตัวที่ต่ำสุดของตลาดและซื้อแล้วถือต่อไปเรื่อยๆ (สักวันมันอาจจะขึ้น) แต่ในความเป็นจริงแล้วหุ้นบางตัว PE ต่ำยังไง ก็ต่ำขนาดนั้นมาตลอด ลองสังเกตุดูจะมีทุกครั้งที่เราใช้โปรแกรมแสกน PE,PBV ออกมา จะมีชื่อหุ้นบางตัวปรากฏตลอด และหุ้นพวกนี้จะปันผลค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับกำไร
ยกตัวอย่าง BECL หุ้นตัวนี้ PE,PBV ต่ำ และในปันผลที่สูง อย่างงี้เรียกว่าหุ้นถูกรึเปล่า ก็อยู่ที่มุมมองว่าคาดการณ์กำไรในอนาคตของบริษัทว่าเป็นอย่างไร เช่นผมมองว่า ในอนาคตรายได้จากค่าผ่านทางจะต้องถูกแบ่งให้รัฐบาล ส่งผลทำให้กำไรของบริษัทลดลง และ การที่จะลงทุนเพิ่มต้องใช้จำนวนเงินมาก ดังนั้นผมจึงมองว่าหุ้นไม่ได้ถูก ทั้งที่ PE , PBV ตำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดมาก
อีกตัวอย่างที่ตรงข้ามกัน CPALL เป็นหุ้นที่ตลาดให้ค่า PE และ PBV สูงมาก มันแสดงถึงว่าคนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าในอนาคตหุ้นตัวนี้จะสามารถมีเปอร์เ็ซ็นต์การโตของกำไรที่สูง อย่างงี้ PE สูง แต่หุ้นแพงรึเปล่า ก็อยู่ที่มุมมองของแต่ละคน เช่น บางคนมองว่าในอนาคตคงไม่สามารถเพิ่มกำไรได้มากเท่าประวัติที่ผ่านมา ก็จะคิดว่าหุ้นตัวนี้แพง แต่ถ้าคิดว่าในอนาคตจะมีการเติบโตที่สูง ก็จะคิดว่าหุ้นตัวนี้ยังถูกอยู่
ดังนั้นสรุปได้เลยว่า การดูความถูกแพงของหุ้นมันอยู่ที่เราประเมิณว่าธุรกิจนั้น ในอนาคตมันจะโตอีกสักแค่ไหน ซึ่งการประเมิณได้เราต้องมีจินตนาการที่ไกลมาก ตรงนี้เป็น key ของการลงทุนในหุ้น แต่สำหรับมือใหม่อย่างผม ผมคิดว่า ถึงผมจินตนาการได้ไม่ดี หรือ ผิดไปจากความจริงเยอะ ผมก็จะไม่ยอมขาดทุน เพราะบริษัทที่ผมเลือกซื้อ อย่างแรกเลย คือ มี Market Cap. ที่ค่อนข้างสูง คือเกิน 3-4 หมื่นล้านขึ้นไป การมี Market Cap. ที่สูงก็ทำให้เราสบายใจได้ (ปั่นยากกว่าตัวเล็ก) อย่างที่สองคือ ต้องซื้อช่วงที่มันลงมาเท่านั้น เช่นตอนปรับฐาน หรือตอนมีข่าวร้ายมากๆ ซึ่งหุ้นจะราคาถูกกว่าราคาเดิม และอย่างที่สามสำคัญที่สุดคือ ก่อนซื้อศึกษาหุ้นตัวนั้นดีๆว่า มันเป็นหุ้นปั่นที่เจ้าแรงรึเปล่า หาไม่ยากหรอกครับถ้าพยายาม(ดูจากกราฟ+search หาจากในเว็บการลงทุนต่าง) แค่นี้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว ถืออย่างสบายใจ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)