รายการบล็อกของฉัน

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทองร่วง !

     วันนี้ราคาทองลงมาเหลือ 1575 เหรียญ จากที่เคยขึ้นไปสูงสุด 1920 เหรียญ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ก็เกือบ 20% แล้ว มันจะตกต่อไปหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แต่ตอนนี้ผมสังเกตุเห็นอะไรบางอย่าง คือ Commodity เกือบทุกชนิด ถูกเทขาย ราคาร่วงตามกันลงมาหมดเลย เมื่อคืน น้ำมันร่วงมาทีเดียว 5% นั่นแปลได้ว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ขายสินทรัพย์ออก แล้วกลับมาถือเป็นเงินสด ทำให้ค่าเงินดอลล่าร์แข็งค่าขึ้นมาทันที ถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นว่าทุกอย่างมันเป็น Cycle ของมัน มีขึ้น-มีลง ขึ้นแรง-ลงแรง เสมอ ถ้ามองภาพนี้ออกแล้วก็จะไม่ตกใจกลัว ในเมื่อมีขึ้นก็มีลง แล้วเราจะไปขายตอนมันลงทำไม ตอนมันลง ถ้าเรามีเงิน (เย็น) เราก็ควรซื้อเพิ่ม แต่เวลาที่เราควรจะขายคือ เวลาที่มันขึ้นแรงๆ แต่ทองนี่ดูยาก เพราะไม่มีดัชนีวัดความถูกแพง ดังนั้นวิธีที่เหมาะกับการลงทุนในทองคำมากที่สุด ผมคิดว่าคือ การทยอยเฉลี่ยซื้อตอนที่มันลง แต่ก็อีกแหละ ไม่รู้ว่าลงถึงขนาดไหนถึงจะซื้อ อันนี้ก็คงต้องแล้วแต่ความพอใจของแต่ละคน แต่มีหลักอยู่อย่างเดียวที่ขอยืมคำพูดมาจาก วอเรนต์ บัฟเฟต คือ 1. อย่ายอมขาดทุน 2. ให้กลับไปดูข้อที่ 1.  ผมว่านี่แหละหัวใจสำคัญของการลงทุน เวลาจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บจากการลงทุน ดังนั้น เงินใครยิ่งเย็นยิ่งได้เปรียบ

     วันนี้ผมจะยกตัวอย่างนักลงทุนในดวงใจผม ซึ่งผมภูมิใจมากที่สุด นั่นก็คือ คุณพ่อของผมเองครับ ^_^ คุณพ่อของผม ลงทุนในทองคำแท่งมานานมากแล้ว ตั้งแต่ยังไม่มีใครสนใจทองคำแท่งเลย คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อน ไปซื้อทองทั้งร้านมีคนเดียวที่เข้าไปซื้อ จะซื้อเวลาไหนก็ได้ ไม่ต้องต่อคิว ไม่ต้องกังวลเรื่องราคา เพราะไม่มีการขึ้นๆลงๆ บางทีก็เป็นอาทิตย์กว่าจะปรับราคา แต่เด๋วนี้กลับกันมาก บางวันต้องรอคิวถึง 800 คิว แล้วราคาก็ขึ้นๆลงๆ วันนึงไม่รู้กี่รอบ ตั้งแต่เล่นมาคุณพ่อของผม ยังไม่เคยขาดทุนเลยแม้แต่บาทเดียว เพราะกลยุทธก็คือ Buy&Hold เท่านั้น ไม่เคยอ่านข่าว ไม่เค่ยอ่านบทวิเคราะห์ ไม่เคยกังวลว่าซื้อมาแล้วจะลงอีกเท่าไร คือไม่เคยสนใจอะไรเลย แค่รู้ว่าทองเป็นทุนสำรองของแต่ละประเทศ ฉะนั้นถ้าเราเก็บไปเรื่อยๆ ก็เหมือนทุนสำรองของบ้านเรา เหมือนกัน มันจะเพิ่มค่าไปเรื่อยๆ เพราะเงินมีค่าลดลงเรื่อยๆ เวลาทองลงหนักๆ ก็จะได้เวลาไปซื้อทอง แล้วพอว่างๆ ก็เอามาเปิดดูชมความแวววาวของทอง แค่นี้ก็ชื่นใจแล้ว

     ผมยอมรับว่าตอนแรกที่ผมเข้ามาเล่นหุ้น ผมไม่เคยสนใจวิธีนี้เลย เพราะกว่าจะได้กำไร มันใช้เวลานาน แล้ว กำไรก็ดูจะน้อย เอาง่ายๆว่า รวยช้า คือตอนนั้นกะเข้ามาเล่นแล้วรวยเลย สุดท้ายกลับเจ๊งไม่เ็ป็นท่า แต่ผมโชคดีมาก ที่มีคุณพ่อที่คอยแนะนำ และส่งเสริมให้ผมรู้จักการลงทุน โดยไม่ได้เสียดายเงิน ที่ผมทำเสียไปในตอนแรก การลงทุนครั้งใหม่ของผมนี้ ทำให้ผมเข้าใจการลงทุนที่แท้จริง และตอนนี้ เงินลงทุนของผมนั้น มันก็เริ่มทำงาน ออกดอกออกผลแล้ว ผลงานทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบ ให้คุณพ่อของผมทั้งหมดเลยครับ ^_^

ลองสังเกตุดูดีๆครับว่าถ้าเราลากเส้นเฉลี่ยออกไปยาวๆแล้ว Asset ทุกอย่างที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตมันมีแต่ขึ้นกับขึ้นครับ (ขออภัย กราฟอาจจะข้อมูลล้าหลังไป)



วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หุ้นกลับมาทะลุ 1000 จุดอีกครั้ง

     ครั้งนี้สำหรับผมแล้ว ผิดคาดไปมาก ตอนที่น้ำเริ่มเข้าท่วมนิคมอุตสาหกรรมใหม่ๆ ตอนนั้นผมคิดว่า ตลาดหุ้นต้องเกิด Panic Sell แน่นอน แต่โชคดีที่ผมยังไม่ได้ขายหุ้นตัวไหนออกไปเลย เพราะคิดว่าถ้าตลาดตกลงมา ผมจะเอาเงินที่เหลือทั้งหมด ซื้อหุ้นตัวเดิมต่อ และแล้ว ตลาดหุ้นก็ขึ้นมาเรื่อยๆ ครั้งนี้ผมคิดผิดเต็มๆ และมันก็สอนให้ผมรู้ว่า ตลาดหุ้นนี้ไม่มีอะไรแน่นอน 100% และ การขึ้น-ลง ของราคาหุ้นนั้น มันไม่เป็นไปตามเหตุผลเสมอไป และหลังจากนี้ผมไม่รู้ว่า ดัชนีจะทะลุขึ้นต่อไปได้เรื่อยๆรึเปล่า หน้าีที่ของผมก็คือ ถือหุ้นต่อไป ไปขายในจุดที่มันแพง ซึ่งจะมาถึงเมื่อไรก็ำไม่รู้เหมือนกัน

     แล้วสมมติว่าตอนราคาแพงมาถึง เราจะรู้ได้ไงหล่ะ ว่ามันแพงแล้ว เวลาหุ้นขึ้น หุ้นจะขึ้นได้ต้องมีกำไรมา Support หรือ อีกประเภทนึงก็ปล่อยข่าว เพื่อหวังปั่นราคาหุ้น (ประเภทหลังนี้ขึ้นไม่นาน ก็ร่วง) ฉะนั้นตราบใดที่กำไรแต่ละไตรมาสยังเพิ่มอยู่ มูลค่่าของหุ้นก็จะสูงขึ้น และหุ้นนั้นจะแพงก็ต่อเมื่อ ราคาหุ้น สูงกว่า มูลค่าหุ้น ง่ายๆเลย ยกตัวอย่าง สมมติซื้อหุ้นมาตัวนึง ตรวจสอบทางงบการเงิน และ อนาคตของบริษัทแล้วว่ามั่นคง ตอนซื้อ หุ้น A PE อยู่ที่ 10 เท่า ราคาอยู่ที่ 10 บาท หลังจากนั้น หุ้นขึ้นต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับกำไรที่โตขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็น ราคา 20 บาท แต่ PE 10 เท่าเหมือนเดิม อย่างนี้ก็แปลว่าหุ้นยังไม่แพง เมื่อเทียบกับพื้นฐาน แต่ในมุมกลับกัน ตอนซื้อ หุ้น B PE อยู่ที่ 10 เท่า ราคา 10 บาท เช่นกัน ถือต่อไปเรื่อยๆ หุ้นราคาลง เหลือ 9 บาท แต่ PE กลับพุ่งสูงเป็น 20 เท่า อย่างงี้คือหุ้นเริ่มแพง สำหรับผมแล้ว ผมจะวิเคราะห์ดู ว่าผลกระทบเกิดจากอะไร ที่ทำให้กำไรลดลง ถ้ามันเป็นปัญหาชั่วคราว ผมก็จะเอากำไรเฉลี่ยที่ผ่านมา 4-5 ปี หรือ กำไรต่ำสุดใน 5 ปีที่ผ่านมา มาคิด PE แล้วดูว่ามันถูกหรือแพง บางทีมันอาจเป็นโอกาสในการซื้อหุ้น B เพิ่มก็ได้  แต่ถ้ากำไรที่ลดลงนี่มาจากพื้นฐานของธุรกิจจริงๆ ที่่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร อันนี้ผมก็จะขายทันที ไม่รีรอ

     ตอนนี้ตลาดหุ้น PE เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 12 เท่า ผมก็ว่าไม่แพงนัก  แต่ก็ไม่ถูก ลองคิดผลตอบแทนต่อปีดูก็จะได้ 8.33% ต่อปี (คิดคร่าวๆนะครับ เอา 100/12 ) ตอนที่ตลาดเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 1700 กว่าจุด PE อยู่ที่ 30 เท่า ซึ่งพอคิดเป็นผลตอบแทนแล้วเหลือ 3.33 % ต่อปีเอง หรือตอนที่ตลาดตกถึง 200 จุด PE ลงมาเหลือ 4 เท่า คิดเป็นผลตอบแทน 25% ต่อปี น่าเหลือเชื่อมั๊ยหล่ะครับ ว่า Greed&Fear ของมนุษย์นั้นสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วย เวลาขึ้นก็โลภ ทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปเรื่อยๆ จน 3.33% ก็เอา แต่เวลากลัว 25% ยังไม่เอาเลย รู้อย่างงี้แล้ว เราจะโลภ หรือ จะกลัวดีครับ คำตอบคือ โลภ เมื่อคนอื่นกลัว และกลัว เมื่อคนอื่น โลภ Credit By Warren Buffet ครับ ^_^

อันนี้คือผลงานของ Greed&Fear



ผมหวังว่าบทความนี้จะช่วยเตือนใจเพื่อนนักลงทุนได้นะครับ การลงทุนมันไม่ง่าย แต่มันก็ไม่ได้ยากถ้าเราเข้าใจ ความผันผวนนั้นเป็นธรรมชาติของตลาดหุ้น 

ขอให้โชคดีกับการลงทุนครับ

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

จุดสังเกตุของ P/E

     ตอนนี้น้ำท่วมขังในกรุงเทพก็เริ่มคลี่คลายเยอะแล้ว โรงเรียนต่างๆก็เริ่มจะเปิดเรียนแล้ว สถานการณ์ก็จะกลับมาปกติ รถติดตอนเช้า และ ตอนเลิกงานเหมือนเดิม ตอนนี้ดูข่าว ก็เห็นภาคใต้ เริ่มมีพายุเข้า และมีน้ำท่วมในบางพื้นที่ สงสัยครั้งนี้จะโดนน้ำท่วมกันทั้งประเทศ แปลกดีเหมือนกัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ น้ำท่วมครั้งนี้มันสอนให้รู้ว่า สุดท้ายแล้ว ความสุขจริงๆมันไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองที่มีมากมาย เกิินจะกิน จะใช้ไหว แต่มันเป็นความพอเพียง เป็นทางสายกลาง ไม่อดอยาก แต่ ก็ไม่โลภจนเกินไป ความสุขจริงๆมันอยู่ที่การได้มีครอบครัวที่อบอุ่น การมีชีวิตที่ไม่เคร่งเครียด การมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่โกรธ ไม่โมโหง่าย มากกว่า ตอนนี้คนที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดก็คือคนจน มันเป็นโจทย์ที่คนทั้งประเทศต้องช่วยกันแก้ปัญหา เพราะหลังจากน้ำลดแล้ว เค้าไม่มีอะไรติดตัวเลย เค้าไม่เหลืออะไรเลย แถมบางคนยังมีหนี้อีกต่างหาก 


   ผมมานั่งสังเกตุ P/E ของหุ้นแต่ละตัว แล้วผมเจอข้อสังเกตุเกี่ยวกับ P/E ของหุ้นอยู่อย่างนึง ยกตัวอย่าง คือ PTT (ดูจากทรัพย์สินก็รู้แล้วว่าตัวนี้คือ PTT) มือใหม่อย่างผมถูกสอนว่าเวลาจะเลือกซื้อหุ้น ให้เลือกซื้อที่ค่า P/E ต่ำๆ และมันก็มีคำถามต่อมาว่าต่ำขนาดไหนถึงจะดี ผมก็เอาตัวอย่างนี้มาให้ดู คือปี 2551 PTT ราคาเหลือ 175 บาท และเทียบเ็ป็น P/E ก็อยู่ที่ 5 เท่า ถ้าลองคิดแบบง่ายๆก็คือ 5 ปีคืนทุน หารแล้วได้กำไร 20% พูดอย่างงี้แล้วดูเหมือนเล่นหุ้นนี่ง่ายจัง  ปีต่อมา กำไรของบริษัทลดลง ทำให้ P/E พุ่งขึ้นไปถึง 31 เท่า ตอนนี้หุ้นตัวเดียวกัน แต่มือใหม่อย่างผมกลับมองว่ามันแพงซะแล้ว นี่แหละมันเป็นเรื่องของใจ  บวกกับสิ่งที่ได้ศึกษามา เพราะถ้าไม่ศึกษาเลย เลือกแต่หุ้นที่ถูกเพียงอย่างเดียว เจอปีต่อมาก็ตกใจขายหมดเลย และแล้วปีต่อมามันก็ขึ้นเป็น 320 บาทพร้อมกับ P/E เหลือ 11 เท่า งงเลยทีเดียว ที่จะบอกก็คือ P/E นั้นเป็นเป็นค่าที่ผ่านมาแล้วในอดีต สิ่งที่เราควรดูก็คือกำไรในอนาคตของมัน ในกรณี PTT คุณต้องคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบให้ได้ เพราะ มันส่งผลต่อกำไรหรือขาดทุนของ Stock น้ำมัน ซึ่งผมว่ามันยาก หรืออย่างกลุ่มเดินเรือ เราก็ต้องคาดการณ์ BDI หรือดัชนีระวางเรื่อได้ ดังนั้นหุ้นกลุ่มนี้ผมว่ามันเล่นแบบคาดการณ์กำไรยาก แต่ข้อสังเกตุของผมคือ ถ้าจะเล่นหุ้นกลุ่มนี้ ต้องเล่นเวลาที่มันแย่ๆ อย่างเช่นน้ำมันลงไปเยอะๆ ทำไรบริษัทขาดทุน Stock น้ำมัน กำไรลดลง หรือ ขาดทุน ซึ่งมันจะทำให้ราคาหุ้นลงมาเยอะ   แต่เมื่อซื้อแล้วมันจะลงต่อไปจนกว่า ราคาน้ำมันดิบจะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งตรงนั้นเป็นส่วนที่เราต้องอดทนรอ หุ้นแบบนี้เราดู P/E หรือการคาดการณ์กำไรในอนาคตไม่ได้ เพราะมันยากมาก

     หุ้นที่เราจะดู P/E ได้คือหุ้นที่กำไรสม่ำเสมอ เติบโตสม่ำเสมอ คาดการณ์ง่าย แม้จะมีการสะดุดบ้างนิดหน่อย แต่หลังจากนั้น กำไรก็กลับเข้าสู่สภาวะเดิม อย่างเช่นปีนี้ เป็นปีที่สะดุดของหุ้นกลุ่มยานยนต์เลยทีเดียว ต้นปีมี Tsunami ที่ญี่ปุ่น บริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์สะดุด แต่ไม่เยอะ แต่น้ำท่วมนี่แหละ สะดุดจริง ปีนี้อาจทำให้กำไรของบริษัทลดลง ถ้ามองในระยะยาวแล้ว กำไรของบริษัทก็ควรที่จะกลับไปเท่าๆกับของเดิม เว้นแต่ว่า บริษัทผลิตรถยนต์จะย้ายฐานการผลิต ซึ่งในมุมมองผม ผมว่ายาก เพราะการที่จะย้ายทั้งโรงงานไปนั้น มันใช้เงินทุนมหาศาล บวกกับความเสี่ยงอีกมากมาย มันอาจจะไม่คุ้มในการที่จะย้ายหนีไป แล้วน้ำท่วมครั้งนี้มันก็ทำให้ได้เห็นแล้วว่า อุตสาหกรรมโรงงานส่วนใหญ่ในประเทศไทยนั้นเป็นของญี่ปุ่น เค้าลงทุนอะไรหลายๆอย่างไว้เยอะ เป็นเครือข่ายกัน ยากที่จะยกกันไปทั้งกลุ่ม ลองนึกภาพดู ถ้าบริษัทผลิตรถยนต์ย้ายไป เค้าก็ต้องไปหา โรงงานผลิตยาง , โคมไฟ , สายไฟ , กระจก , สี และ อื่นๆอีกมากมาย เพื่อเอามาผลิตเป็นรถยนต์ คงวุ่นวายน่าดู

     อาทิตย์ที่ผ่านมา ต่างชาติเล่นเทขายทุกวันเลย มันเป็นธรรมดาของ Trader พอมีกำไรก็ต้องขายออกไป แล้วยิ่งตอนนี้ ดอลล่าร์เริ่มแข็งตัวขึ้น มันส่งผลให้กำไรของเขาลดลงโดยปริยาย เค้าจึงขายเอากำไรส่วนนี้กลับไปก่อน ไม่แน่การขายครั้งนี้ของต่างชาติอาจทำให้เกิดการปรับฐานอีกครั้งเป็นได้ เพราะเค้าเป็นกลุ่มเงินที่ใหญ่ และมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นบ้านเราเยอะ แต่เราก็ไม่ต้องไปกลัว เพราะตามหลักแล้วมีขึ้นก็มีลงเป็นธรรมดา ตอนลง ราคายิ่งถูกยิ่งน่าเก็บ น่าสะสมไว้

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ในที่สุดวิกฤตน้ำท่วมก็กำลังจะผ่านไป

     ผมต้องหนีนำ้ท่วมอยู่หลายอาทิตย์เลยไม่ได้เข้ามาเขียนบล๊อกเลย (ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีคนเข้ามาอ่านอีกรึเปล่า ^_^ )  หลังจากช่วง 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานคร ประกาศให้พื่นที่ของผมเป็นพื้นที่เผ้าระวังพิเศษ ผมก็เลยตัดสินใจไปต่างจังหวัดซะเลย เพราะเตรียมตัวทุกอย่างไว้หมดแล้ว เหลือแต่ตรวจสอบเรื่องไฟฟ้าให้เรียบร้อย หลังจากนนั้นก็เดินทางออกจากกรุงเทพมหานคร ไปเที่ยวภาคเหนือ โดยไปพักที่บ้านเกิด คือ จ.กำแพงเพชร ก่อน และก็เลยไป จ.ตาก อารมณ์ตอนไปถึง มันต่างกับตอนอยู่กรุงเทพมาก เพราะมันไม่ต้องกังวลว่าน้ำจะมามั๊ย ถ้าน้ำมาจะออกยังไง หรือว่า จะเตรียมอะไรไว้กินดี (ตอนนั้นของกินแทบไม่มีขาย)

    สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากน้ำท่วมครั้งนี้มีหลายอย่างมาก เขียนเป็นข้อๆเลยละกัน เพราะช่วงที่ไปเที่ยวนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้ เลยใช้จดใส่โทรศัพท์มือถือแทน
1. เราควรมีทรัพย์สินแต่เพียงที่จำเป็นต้องใช่เท่านั้น เพราะเวลาเกิดเหตุที่ไม่คาดฝัน ความเครียดมันจะแปลตามทรัพย์สินที่มี ลองนึกภาพคน 2 คนมีรถ 4 คันดูสิ มันยุ่งยากขนาดไหน
2. เราควรเตรียมตัวกับการเกิดวิกฤติเสมอ เช่น มีเงินสดไว้ เผื่อจำเป็นต้องใช้ หรือ มีแทงค์น้ำ เผื่อตอนน้ำประปาไม่ไหล และเตรียมอะไรๆอีกหลายอย่างมากมาย และที่สำคัญทีสุดคือ เตรียมใจ
3. นิสัยของการชอบอ่าน ชอบศึกษา และ ช่างสังเกตุ มันจะช่วยได้เยอะมากในการเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ที่ผ่านมาถ้าใครอ่านและฟังเยอะ (เลือกเฉพาะตรงเหตุผลของแต่ละคนแล้วเอามาวิเคราะห์และติดตามผลลัพธ์เอง) คงจะเข้าใจว่ามันช่วยได้มากขนาดไหน
นี่เป็นตัวอย่างสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากครั้งนี้ แต่จริงๆแล้วมันมีอีกมากมาย แล้วแต่ว่าใครจะมองแบบไหน แต่ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตมันจะมีโอกาสเสมอ อยู่ที่เราหาเจอรึเปล่า

     สำหรับเรื่องหุ้น มันก็ผิดคาดสำหรับการคาดการของคนหลายๆคน ว่าน้ำท่วมครั้งนี้ข่าวร้ายเยอะจัง น่าจะทำให้หุ้นร่วงลงไป บางคนถึงกับยอมขายขาดทุนเพื่อที่จะลงไปรอซื้อตอนมันตกลงไป แต่แล้วมันก็ขึ้นมาเรื่อยๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะขึ้นต่อรึเปล่า แต่ผมรู้ว่าหุ้นที่ผมถือมันยังไม่แพง ผมก็ยังไม่ขายดีกว่า เพราะมันไม่ make sense เลยที่จะขายตอนหุ้นมันราคาถูก คำว่าถูกของแต่ละคนมันก็ต่างกันนะครับ อย่างผม ผมรับได้กับการที่หุ้นจ่ายปันผลให้ผม 4-5 % ต่อปี และมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ Peter Lynch บอกไว้ว่า การเล่นหุ้นเหมือนการเล่น Poker ที่ไม่มีวันจบ กำไรในแต่ละไตรมาสเปรียบได้กับการหงายไพ่ขึ้นมาอีกใบ เราจะอยู่ต่อ ต่อเมื่อไพ่ที่หงายขึ้นมามันดี แต่ถ้าหงายขึ้นมาแล้วมันแย่ติดต่อกัน เราก็ทิ้งไพ่ชุดนั้นซะ แล้วจะเริ่มไพ่ชุดใหม่ (อาจจะงงๆหน่อย)




วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มนุษย์ไม่สามารถฝืนธรรมชาติได้

     หลังจากผ่านมาเป็นเดือน สุดท้ายกรุงเทพมหานคร ก็เจอกับน้ำจนได้ ธรรมชาติของน้ำคือไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ต่อให้มนุษย์เก่งขนาดไหน เราก็ไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ พอน้ำไหลลงมาจากภาคเหนือสิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้คือ พยายามกั้นไม่ให้เข้ากรุงเทพ แต่จังหวัดกรุงเทพนั้นมันเป็นทางออกของน้ำสู่ทะเล (จริงๆก็มีหลายทางที่จะออกสู่ทะเล แต่กรุงเทพก็เป็นทางหนึ่ง) ฉะนั้นถ้าเราพยายามกั้นไม่ให้น้ำออกทางกรุงเทพ ก็เหมือนเราปิดท่อระบายน้ำไปท่อนึง น้ำจึงไม่สามารถระบายได้ดีเท่าี่ควร  แต่ตอนนี้ผู้รับผิดชอบโดยตรงกำลังหาทางออกให้พวกเราอยู่ เราก็มีหน้าที่ป้องกันตัวเองเท่าที่ทำได้ และก็เฝ้ารอต่อไป ว่าจะท่วมมั๊ย น้ำมาถึงไหนแล้ว ความคิดของผม ผมว่าการที่เรามีคันกั้นน้ำที่สูงๆ มันจะยิ่งทำใจพื้นที่ในเขตกั้นน้ำ กลายเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยไปโดยปริยาย ถ้าวันนึงมันเกิดรับน้ำไม่ไหวและพังลงมา ความแรงของน้ำจะทำให้ทรััพย์สินจะเสียหายมากกว่า การที่ไม่ได้กั้นซะอีก และคนที่อยู่ในคันกั้นน้ำก็จะมีความเครียดสะสม เพราะไม่รู้ว่าคันจะเอาอยู่จริงๆรึเปล่า แต่ทุกอย่างมันมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวมันเองเสมอ อยู่ที่เรามองเห็นมันรึเปล่า

    ที่บ้านผมตอนนี้ผมเตรียมทำกระสอบกราย และ ก่ออิฐบล๊อกเพื่อรองรับน้ำแล้ว การเตรียมตัวก่อน ไม่ว่ามันจะเกิดหรือไม่ อย่างน้อยมันก็ทำให้เราสบายใจ นอนหลับได้อย่างสบาย เพราะไม่ว่ามันจะมาหรือไม่มา ผมก็ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้แล้ว มีอย่างเดียวคือ ถ้าผมตื่นมาตอนเช้าแล้วมีน้ำท่วมเต็มหน้าบ้าน หน้าที่ของผมก็คือ เก็บกระเป๋าพร้อมทรัพย์สินมีค่า ซึ่งผมได้เตรียมไว้แล้ว และอพยพไปอยู่ต่างจังหวัด และระหว่างที่รอนี้ ผมก็ได้ออกไปเที่ยว หาอะไรกิน ตามสบาย ไม่ต้องมานั่งกังวลว่า น้ำจะมาเมื่อไร หรือตอนนี้มีข่าวว่าอะไร (ข่าวตอนนี้ก็มั่วมาก เชื่อถือไม่ค่อยได้) ^_^

     สำหรับเรื่องการลงทุนแล้ว เราก็ฝืนธรรมชาติไม่ได้อีกเช่นกัน ทุกอย่างมันมีขึ้นมันก็ต้องมีลง อยู่ที่ระยะเวลาเท่านั้น อย่างเมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา เกิดการขึ้นแรงๆ จนคนงงว่า นี่เราน้ำท่วมอยู่นะ มันขึ้นไปได้ยังไง และแล้ว มันก็ค่อยๆร่วงลงมา เพราะมันขึ้นไปแรง แต่ผมสังเกตุอยู่อย่างหนึ่งคือ ต่างชาติซื้อสุทธิเกือบทุกวันเลย ผมไม่รุ้ว่ามันจะหมายความว่าอะไร ในความคิดผม ผมว่าถ้าซื้อตอนนี้มันก็น่าจะได้ของถูก เพราะมีแต่คนขาย ยิ่งบริษัทที่โดนน้ำท่วม มันร่วงจนเกินมูลค่าพื้นฐานไปแล้ว ทุกคนลืมไปรึเปล่าว่า บริษัทเค้ามีประกัน เค้าอาจจะสูญเสียรายได้ตอนที่ซ่อมแซมโรงงานไปบ้าง แต่หลังจากนั้น Demand มหาศาลก็จะกลับมาชดเชย ช่วงนั้นได้เอง อาศัยแค่เวลา ถ้าเราเป็นนักลงทุนระยะยาว ช่วงนี้แหละที่หุ้นลงต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน เราก็ทยอยเก็บได้ แต่ต้องอึดพอ เพราะไม่รู้ว่า Panic Sell จะมีผลร้ายแรงขนาดไหน

     สิ่งที่เราต้องป้องกันตัวเอง จากการขึ้นลงของราคาคือ อย่างแรก เราต้องไม่ใช้มาร์จินหรือเงินกู้มาเล่น เพราะมันจะทำให้เราเสียหายตอนหุ้นลง อย่างที่สอง เราต้องเลือกบริษัทที่ค่อนข้าง Conservative มันจะเติบโตช้า แต่มันจะไม่ล้มง่ายๆ และอย่างที่สาม ซึ่งสำคัญที่สุดคือ เราต้องฝึกใจเราให้นิ่งพอ ทุกอย่างถ้าเราวางแผนไว้ดีหมด แต่ใจไม่นิ่งพอ มันก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนตอนนี้ ข่าวร้ายมากมาย หลายคนบอกว่าญี่ปุ่นจะย้ายฐานการผลิต หรือ เศรษฐกิจจะเข้าขั้นวิกฤติ แต่ถ้าใจเรานิ่งพอ เราจะสามารถผ่านมันไปได้ อย่าลืมว่า "ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ" หลังจากน้ำลด ทุกคนต้องซ่อมแซมบ้าน โรงงาน และ ทรัพย์สินอีกมากมาย ผมว่ามันน่าจะเกิดการใช้จ่ายมหาศาล ซึ่งมันจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจหลังน้ำลด

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ในวิกฤติ ก็มีโอกาส

     ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา แทบไม่มีข่าวอย่างอื่นเลย นอกจากข่าวน้ำท่วม และผมสังเกตุเห็นว่า ในข่าวนั้นจะมีภาพของความช่วยเหลือ ที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกที่ คนที่มีมากก็บริจาคมาก คนที่มีน้อยก็บริจาคน้อย ส่วนคนที่ไม่มีก็มาออกแรงช่วยกัน (ขอยืมคำพูดคุณตันมาใช้ ^_^) สุดท้ายมันก็เลยออกมาเป็นภาพแห่งความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่ พูดถึงคุณตัน อิชิตัน โรงงานผลิตชาเขียวอิชิตัน ที่คุณตันเพิ่งสร้างใหม่ ถูกน้ำท่วมเสียหายหมด โรงงานแห่งนี้ยังสร้างไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ และสิ่งที่ผมเห็นแล้วรู้สึกว่า นี่แหละ คนที่มีน้ำใจจริงๆ คือ สิ่งที่อยู่ในสายพานการผลิต (ทั้งที่โรงงานยังไม่เสร็จเลย) คือ น้ำเปล่า ที่คุณตันใช้เครื่องของโรงงานผลิตเพื่อเตรียมนำไปบริจาค นอกจากนี้คุณตันยังบริจาคเงินอีกมามายมหาศาล ผมรู้สึกภูมิใจมากที่เงินของผมที่ซื้อชาเขียวอิชิตัน ส่วนหนึ่งได้ถูกนำไปช่วยเหลือเพื่อร่วมชาติในตอนนี้ ผมว่าการกระทำของคุณตันครั้งนี้ ได้ใจหลายๆคนไปเต็มๆ

     พูดถึงตลาดหุ้น สุดท้ายหลักการของเหตุผลก็ใช้ได้เสมอ คือ เมื่่อตลาดมีความกลัวมากเกินไป ณ เวลานั้นคนมีของอยากขาย คนไม่มีของอยากซื้อ ราคามันก็เลยลงต่ำไปเรื่อยๆ แต่เมื่อไรที่ราคาลงไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่รายใหญ่เค้าพอใจ ราคาก็จะกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อย่างตอนนี้คงอธิบายยากว่า อยู่ดีๆทำไมฝรั่งกลับมาซื้อซะอย่างงั้น 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาฝรั่งซื้อไปแล้ว 13000 ล้านบาท และดัชนีก็ขึ้นมาเป็น 955.81 จุด เป็นที่เรียบร้อย แต่หลังจากนี้ไม่มีใครบอกได้แน่นอนว่าตลาดจะลงต่อไปรึเปล่า สำหรับผม ผมมองระยะสั้นว่ามันขึ้นมาค่อนข้างแรง น่าจะมีลงไปบ้าง เพราะลองคิดในมุมถ้าคุณเป็นฝรั่ง คุณคงไม่อยากซื้อราคาสูงขึ้นเรือยๆแน่ๆ ในระยะกลาง ผมมองว่ามันไปได้อยู่ เพราะอารมณ์ของคนในตลาดตอนนี้ค่อนข้างกลัว ดูได้จากบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ และ ตามเว็บบอร์ดหลายๆที่ บวกกับข่าวน้ำท่วมในตอนนี้ ซึ่งแต่ละคนก็ประเมิณความเสียหายเป็นมูลค่ามหาศาลมาก ดังนั้นผมจึงคิดว่า ตอนที่คนกลัวนี่แหละหุ้นจะถูก เพราะไม่มีใครอยากซื้อ

     เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ สอนให้ผมรู้ว่า การที่เราทำลายธรรมชาติมากเกินไป สักวันหนึ่งธรรมชาติก็จะกลับมาเอาคืนเรา เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติ ไม่ใช่เรียนรู้ที่จะต่อสู้กับธรรมชาติ เหมือนกับธรรมชาติของการลงทุน มีบางอย่างที่เป็นความคิดที่เรียบง่ายมาก ความคิดนี้ถูกสอนมาตั้งแต่บรรพบุรุษของผม คือ ความไม่มีหนี้คือลาภอันประเสริฐ บริษัทที่มีหนี้มาก โอกาสที่ธุรกิจจะโตเนื่องจากเงินทุนก็มีมาก แต่อย่าลืมว่า ธุรกิจต้องจ่ายดอกเบี้ยตลอดเวลา และ เมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ธุรกิจนั้นอาจจะล้มได้เลย เทียบกับบริษัทที่มีหนี้น้อย เราสามารถอุ่นใจได้อย่างนึงว่า ถึงบริษัทจะไม่โตแบบก้าวกระโดด แต่อย่างน้อยก็คงไม่ล้ม สามารถถือได้อย่างสบายใจ ไม่ว่าช่วงนั้นบริษัทจะประสบกับภัยธรรมชาติ ต้องหยุดการผลิตชั่วคราว มันอาจทำให้กำไรลดลงบ้าง แต่ไม่ถึงกับเจ๊ง ถ้าเทียบกับบริษัทที่มีหนี้มาก ต้องมีภาระการจ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน อย่างไหนจะสบายใจกว่ากัน

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ความช่วยเหลือ

     ตอนนี้หลายจังหวัดเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม มีผู้ประสบภัยมากมายไร้ที่อยู่อาศัย ทรัพย์สินเสียหาย มันเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายทั้งด้านทรัพย์สินและด้านจิตใจแก่ผู้ระสบภัยเป็นอย่างยิ่ง แต่จากพื้นฐานความมีน้ำใจของคนไทย เราก็ได้เห็นยอดบริจาคทั้งสิ่งของและเงินมากมายกำลังหลั่งไหลเข้าไปสู้พื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม ผมว่ามันเป็นภาพที่น่าชื่นชมมาก มันแสดงให้เห็นว่า เมื่อคนในชาติกำลังลำบาก เราคนไทยจะช่วยเหลือกัน บุคคลที่มีชื่อเสียงหลายๆคน อย่างคุณสรยุทธ(ตอนนี้ Hot มาก) หรือ คุณตัน โออิชิ และคนอื่นๆอีกมากมาย ตอนนี้ต่างมีบทบาทในการช่วยเหลือน้ำท่วม มันเป็นภาพที่สวยงามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้นตอนนี้

     ตามหลัก กฏแห่งกรรม เราทำอย่างใด เราก็จะได้อย่างนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันใช้ได้ตลอดกาล อย่างตอนนี้มีญาติผมคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า บ้านเค้าน้ำท่วม ทุกคนในหมู่บ้านเดือดร้อนหมด ทุกคนพยายามเอาชีวิตรอดโดยการทิ้งบ้านไว้ และ หนีออกมาก่อน แต่พอทุกคนออกมาถึงถนนใหญ่ ทุกคนกลับไม่เห็นเพื่อนบ้านคนหนึ่งซึ่งมีนิสัยชอบช่วยเหลือผู้อื่น ใครขอให้ช่วยอะไร ลุงแกจะช่วยทุกอย่าง ทุกคนที่อยู่ที่ถนนใหญ่ ร่วมมือร่วมใจกันที่จะหาเรือไปรับลุงคนนั้นออกมา โดยที่ทุกคนลืมเรื่องทรัพย์สินของตัวเองไปหมดเลย เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมเชื่อเข้าไปอีกว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใช้ได้ตลอดกาลจริงๆ

     กลับมาที่เรื่องหุ้น ผมว่าตอนนี้ใครทำใจ และ เอาตัวรอดได้ ผมถือว่าเก่งมาก เพราะตลาดหุ้นเล่นขึ้นลงแรงๆหลายครั้ง และสุดท้ายก็มาปิดตลาดที่ 909 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อสุทธิของต่างชาติ 4600 ล้านบาท แต่ รายย่อยขายออกไป 3500 ล้านบาท  มองภาพแล้วตอนนี้ต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อ แ่ต่จะซื้อจริงหรือซื้อหลอก อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าซื้อจริงตลาดหุ้นก็จะกลับขึ้นไปได้ เพราะเงินทุนจากต่างชาติมีมหาศาลมาก สามารถชี้นำตลาดหุ้นไทยได้  วันนี้ผมมานั่งอ่านข่าวเกี่ยวกับการร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือน้ำท่วม ผมคิดว่าผู้ที่บริจาค จะได้รับอะไรหลายๆอย่างตอบแทนมากมาย เช่น การที่เราได้ช่วยเหลือคนที่กำลังมีความทุกข์ เราจะมีความสุข รู้สึกอิ่มเอมใจ หรือ เราจะได้จากทางอ้อมคือ หลังจากน้ำลด เงินที่เราบริจาคไปนั้นจะถูกน้ำไปจับจ่ายซื้อของ ซ่อมแซมทรัพย์สินส่วนที่เสียหาย ดังนั้น หลังน้ำลด เศรษฐกิจจะคึกคักขึ้น เนื่องจากแรงซื้อมหาศาล จากผู้ที่ประสบภัยน้ำท่วม 

     มีอีกคำสอนนึง ที่ผมคิดว่าตอนนี้เอามาประยุกต์ใช้ได้ คือ ทุกอย่างไม่เที่ยง มีขึ้นและมีลง มันเหมือนกับตอนนี้ประเทศไทย ประสบปัญหาน้ำท่วม แต่ ผมอยากให้ทุกคิดไว้ว่า มันไม่มีทางท่วมไปอย่างนี้ตลอดปี ปัญหามันเกิดมาเพื่อให้เราเรียนรู้ เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน เรียนรู้ที่จะป้องกัน เรียนรู้ที่จะแก้ไข สักวันนึง เหตุการณ์ร้ายๆมันจะผ่านไป แต่มันจะผ่านไปพร้อมกับประสบการณ์ในการเอาตัวรอดของเรา ซึ่งมันจะทำให้เราแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราล้ม เราก็ต้องลุก เพราะชีวิตเราต้องดำเนินต่อไป เพื่อคนที่เรารัก และ เพื่อตัวเราเอง  ^_^

" ท้อได้แต่อย่าถอย "

" หลังพายุฝนผ่านไป  ฟ้าย่อมสดใสเสมอ "




วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

Black Monday

     เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ประเทศไทยเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ตลาดหุ้นโดนหยุดการซื้อขายชั่วคราว เพราะดัชนีตกลงมา 10% (ลงถึงรึเปล่าไม่รู้ แต่รู้ว่ามันปิดการซื้อขาย) พอเย็นวันนั้น ผมกลับบ้านมานั่งอ่านข่าว และอ่านตามเว็บบอร์ดต่างๆ ผมพบว่า หลายๆคนกำลังหนีตาย บางคนที่หนีไปได้แล้วก็บอกว่าตัวเองโชคดีมาก บางคนที่หนีไม่ทันก็เป็นทุกข์ กลัวว่าวันรุ่งขึ้นจะตกอีก ซึ่งมันทำให้ผมเห็นว่า ธรรมชาติสร้างมนุษย์มากับความโลภและความกลัวจริงๆ เวลาที่หุ้นขึ้นแรงๆ คนหลายๆคนก็โลภคิดว่าหุ้นต้องขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สุด ความโลภทำให้ลืมเหตุผลข้อสำคัญข้อนึงไปคือ ทุกอย่างมีขึ้นและมีลง ยิ่งขึ้นแรงยิ่งลงแรง เป็นธรรมชาติ และแล้วด้วยความที่มันลงมาแรง ทำให้วันต่อมาตลาดหุ้น บวกกับ พอสมควร หลายๆคนก็เซงไปตามกัน

     สำหรับผมแล้ว ผมมีหุ้นอยู่เต็มพอร์ท ซื้อไว้ตั้งแต่ประมาณ 1030 จุด Black Monday ที่ผ่านมาก็ทำให้พอร์ทของผมติดลบไปไม่น้อย อย่าง PTT ก็หลุด 300 บาท มาได้อย่างชิวๆ ในความคิดของผม ผมคิดว่าทุกตลาดมีความผันผวน ถ้าเราจะลงทุนระยะยาว เราต้องทำใจรับให้ได้ เพราะเหตุการณ์แบบนี้ก็จะมีให้เห็นเรื่อยๆ และมันวัดใจมาก มันเป็นตัววัดว่า คุณจะเล่นหุ้นรุ่งหรือร่วง ถ้าคุณทำการบ้านมาดี ศึกษาหุ้นทุกตัวมาอย่างดีก่อนจะซื้อ คุณจะไม่หวั่นไหวกับราคาที่ร่วงลงไป (หรือหวั่น ก็น้อย) และมันเป็นโอกาสดีซะอีกที่คุณจะได้ซื้อหุ้นในราคาที่ถูกลง และ ปันผลเทียบกับราคามากขึ้น ถ้าคุณสังเกตุ ตลาดหุ้น ตลาดทอง ตลาดน้ำมัน และอื่นๆ อีกมากมาย เดี๋ยวนี้มันผันผวนมาก และความผันผวนนี้มันจะยิ่งเร่ง Cycle มาให้เร็วขึ้น ผมไม่แน่ใจว่าจริงๆแล้วมันเกิดจากอะไร แต่เท่าที่ดูๆมา มันน่าจะเกิดจากกองทุนต่างๆ หรือนักเล่นหุ้นรายใหญ่ที่มีเงินมหาศาล การซื้อขายแต่ละที สามารถชีนำตลาดหุ้นได้ หรืออาจจะเกิดจาก ระบบเทรดของนักเล่นแนว Thecnical ก็ได้ ที่ระบบของพวกเขามีการตั้ง Cut Loss พอรวมกันมันก็เลยร่วงจริงๆ อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าสาเหตุที่แท้จริงมันเกิดจากอะไร แต่ผมคิดว่าทุกอย่างที่มันมีข้อเสียมันก็จะมีข้อดีอยู่ด้วยกันเสมอ อย่างเช่น ความผันผวนเหล่านี้มันยิ่งเร่ง Cycle ให้เร็วขึ้น ดังนั้นมันแปลว่า ถ้าคุณซื้อแล้วติดดอย คุณจะสามารถลงจากดอยได้เร็วขึ้น หรือ เวลาที่คุณอยากได้หุ้นอะไร แต่ราคามันยังแพงอยู่ คุณก็จะได้ซื้อเร็วขึ้น

     ทุกอย่างมันมีมุมมองดีๆเสมอ อยู่ที่เราเลือกจะมองรึเปล่า ชีวิตของเรา เราเริ่มจากศูนย์ ผมไม่กลัวที่จะกลับไปศูนย์ ขอให้ผมได้ทำในสิ่งที่ผมชอบ (และไม่เดือดร้อนใคร) การลงทุน เป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด ผมชอบที่จะอ่าน ชอบที่จะศึกษาเกี่ยวกับทุกๆอย่างที่ผมจะซื้อ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ มือถือ หุ้น และหลายๆอย่างในชีวิตประจำวัน ผมจะใช้เวลาศึกษาค่อนข้างนาน และผมจะมีความสุขมาก ที่ได้ครอบครองสิ่งที่ผมศึกษามาอย่างดี ทุกอย่างมันมีขึ้นและมีลง ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง และทุกอย่าง วันนึงมันก็ต้องจากเราไป และวันนึงมันก็อาจจะกลับมาใหม่ แต่สิ่งที่มันจะจากเราไปได้ยากที่สุด คือใจของเรานั่นเอง ใจที่มันมีความสุข เราลองมาทำใจให้มีความสุข (แม้มันจะสวนเทรนด์ของตลาดหุ้นตอนนี้ก็เถอะ) ผมหวังว่าบทความที่ผมเขียนขึ้นมา จะเป็นกำลังใจให้กับคนที่ยังขาดทุน และมีความเครียดอยู่ ได้นะครับ ตอนที่ผมเริ่มเล่นหุ้นใหม่ๆแล้วขาดทุน ผมอยากอ่านสิ่งมันอ่านแล้วทำให้มีกำลังใจ วันนี้ผมเห็นว่ามีหลายคนกำลังอยากได้กำลังใจนี้ ผมเลยอยากเขียนออกมา หวังว่ามันคงช่วยได้นะครับ

แบ่งปันความสุข

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

หุ้นที่น่าเบื่อ : IRC

     IRC มีชื่อเต็มว่า อินโนเว รับเบอร์(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทนี้ดำเนินกิจการมา 40 ปี ทำธุรกิจเกีี่ยวกับการแปรรูปยาง และ มีบริษัทแม่คือ อินโนเว รับเบอร์ อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น บริษัทมีโรงงาน 2 แห่ง อยู่ที่จ.ปทุมธานี และ จ.อยุธยา ความน่าสนใจอยู่ที่บริษัทเกิดมาแล้ว 40 ปี เป็นบริษัทที่มีขนาดเล็ก Market Cap. ประมาณ 2200 ล้านบาท มี Free Float แค่ 30% และที่สำคัญคือ Volume ต่อวันน้อยมาก คือ แค่หลักแสนต่อวัน หุ้นตัวนี้ราคานิ่งมาก แต่อีกมุมนึง มันก็เป็นที่น่าสนใจของคนที่คิดจะถือยาว ด้วยพื้นฐานของบริษัท และ Dividend ที่ค่อนข้างสูง (ประมาณ 4.5%)

     IRC คนส่วนใหญ่อาจจะคิดว่าบริษัทผลิตแต่ยางรถมอเตอร์ไซค์ แต่ที่จริงแล้ว เป็นการผลิตยางมอเตอร์ไซค์ 45% (แบ่งเป็น ส่งออก 15% และ ขายในประเทศ 30%) และเป็นการผลิตยางเพื่ออุตสาหกรรม อีกประมาณ 50% (ส่งออก 10% ขายในประเทศ 40%) เปอร์เซ็นต์ที่เหลือคือผลิตวงล้อรถมอเตอร์ไซค์   ยางเพื่ออุตสาหกรรม ก็คือ พวกยางที่ใช้กับรถยนต์และเครื่องจักรต่างๆ ยกตัวอย่าง เช่น ยางแท่นเครื่อง ยางขอบกระจก วาล์วน้ำ และ อื่นๆ อีกมากมาย ในด้านรถยนต์ก็มีลูกค้าเป็นค่ายรถยนต์ที่ประกอบในประเทศเกือบทุกค่าย เช่น โตโยต้า ฮอนด้า ถ้าดูจากสัดส่วนการผลิตแล้ว นับคร่าวๆ ก็อย่างละครึ่ง ดังนั้นคือ บริษัทพึ่งพาทั้งรถยนต์ และ รถมอเตอร์ไซค์ และ เน้นการขายในประเทศเป็นหลัก (80%) มองแล้ว ไม่น่ามีผลกระทบจากการส่งออกเท่าไรนัก ดูด้านการเงิน บริษัทมีหนี้สินอยู่ 1300 ล้านบาท แต่มีทรัพย์สินทั้งหมด 3300 ล้านบาท หนี้สินต่อทรัพย์สินก็ถือว่าไม่มาก

     ถ้าดูอย่างคร่าวๆแล้ว บริษัทนี้มีความน่าสนใจอยู่พอสมควร แต่มีข้อเสียตรงที่ Freefloat ต่ำ และมีหุ้นอยู่ในตลาดน้อย Volume ต่อวันน้อยมาก ทำให้การซื้อขายเป็นไปได้ลำบาก แต่ มันเหมาะกับคนที่คิดจะถือยาว เพราะมันขายยากนั่นเอง ยิ่งตอนตลาดหุ้นขาลงแบบนี้ Volume แทบไม่มี (อะไรที่มันมีข้อดีมันก็ต้องมีข้อเสียเป็นธรรมดา) และนี่เป็นสาเหตุที่คนไม่ค่อยเล่นตัวนี้กัน ถ้าจะให้ดีต้องทยอยซื้อ อย่าไปเคาะทีละหลายๆช่อง ค่อยๆเก็บไปเรื่อย เพราะความที่มันไม่มี Volume นี่แหละ ราคามันจะขึ้นลงได้ง่ายมาก

     ในตลาดมีหุ้นแบบนี้อยู่หลายตัวเหมือนกัน เช่น AEONTS , MBK สังเกตุว่าหุ้นพวกนี้ไม่มีโบรกเกอร์มาตามวิเคราะห์ เพราะมันไม่มี Volume ให้ซื้อขาย ดังนั้นตามหลักเหตุผล เราน่าจะได้หุ้นถูกกว่า หุ้นที่มีโบรกเกอร์มาเชียร์ซื้อ นี่แหละคือความน่าสนใจของหุ้นที่น่าเบื่อ หรือหุ้นอีกประเภทที่เราจะได้ถูกกว่านี้อีกก็คือ หุ้นที่มีโบรกเกอร์ตามวิเคราะห์ แต่ โบรกเกอร์เชียร์ขาย หุ้นพวกนี้จะลงแรงมาก เช่นตอนนี้ก็มี STA , BANPU , IRPC ถ้าเราวิเคราะห์ ศึกษาอย่างละเอียดแล้วว่ามันเป็นธุรกิจที่ดี เราก็เข้าไปทยอยซื้อได้ เช่นตั้งเป้าไว้ว่าจะซื้อ 1 ล้านบาท เราก็แบ่งเป็นก้อนละ 2.5 แสนบาท แล้ทยอยซื้อ ลงอีกซื้ออีก จนครบ แล้วพอ แต่ถ้ามันขึ้นมาก่อนแล้วยังซื้อไม่ครบ เราก็เก็บเงินก้อนนั้นไปรอซื้อหุ้นตัวใหม่ ตลาดหุ้นความน่ากลัวที่สุดมันคือความโลภ ฉะนั้นห้ามโลภ เด็ดขาด พูดง่ายแต่ทำยากจัง ^_^

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

หุ้นที่น่าเบื่อ

     ในแต่ละ Sector นั้นจะมีหุ้นที่น่าเบื่ออยู่อย่างน้อย 1 ตัว สังเกตุง่ายๆคือ PE จะต่ำกว่าตลาด และ Dividend จะสูงกว่าตลาด ยกตัวอย่างเช่น BBL อยู่ในกลุ่มแบงค์ขนาดใหญ่ แต่มี PE ตำกว่าแบงค์ใหญ่ที่เหลือ  และมี Dividend ที่สูงกว่า  แต่ตอนนี้พอตลาดปรับฐานลงมา PE ก็ลงมาอยู่ใกล้ๆกัน มันแสดงให้เห็นว่าหุ้นน่าเบื่อนั้นมีความปลอดภัยสูงกว่า เพื่อนๆในตลาด เพราะมัันไม่เป็นที่ต้องการของนักเล่นหุ้นทั่วไป ธรรมชาติของมนุษย์จะต้องการสิ่งที่มันน่าตื่นเต้น หวือหวา มากกว่าอะไรๆที่น่าเบื่อ ดังนั้นไม่แปลกที่หุ้นแบบนี้จะไม่ค่อยไปไหน แต่ ถ้ามันเป็นธุรกิจที่กำไรโตขึ้นตลอด สักวันนึง มันก็จะสะท้อนราคาที่แท้จริงออกมาเอง และการซื้อหุ้นที่น่าเบื่อนี้ส่วนใหญ่มักจะได้ราคาถูกกว่าความเป็นจริงด้วย เพราะไม่มีใครสนใจจะซื้อ ราคามันจึงไม่ไปไหน

     ผมอ่านหนังสือเล่มนึง เป็นแนวธรรมะ เค้าบอกว่าความสุขของมนุษย์ที่แท้จริงคือการอยู่กับความทุกข์อยู่กับปัญหาอย่างมีความสุข เป็นเรื่องที่พูดง่ายมาก แต่ทำยาก ถ้ามนุษย์เรียนรู้ที่จะอยู่กับความน่าเบื่อ ความทุกข์ ปัญหา อย่างมีความสุขได้ ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย กลับมาที่เรื่องหุ้น หุ้นที่น่าเบื่อ มีเยอะมากในตลาด แต่คนที่เข้ามาเล่นใหม่ๆจะหาไม่เจอ (ประสบการณ์โดยตรงของผม) ตอนที่ผมเข้ามาใหม่ๆ อย่างแรกที่ทำก็คืออ่านข่าวเกี่ยวกับหุ้นและเศรษฐกิจ อย่างแรกที่เจอในหัวข้อข่าวก็คือ หุ้นที่มันร้อนแรง หวือหวา ทั้งนั้นเลย อย่างเช่น IVL,PTL,JAS,อื่นๆอีกมากมาย จนตอนนั้นผมคิดว่าตลาดหุ้นมันมีหุ้นอยู่เท่านี้ แต่พอหลังๆมา เริ่มศึกษา เริ่มจริงจังมากขึ้น จึงได้เห็นหุ้นหลายๆตััวที่เป็นหุ้นที่น่าเบื่อ แต่น่าสนใจ ตอนนัั้นผมอ่านหนังสือของ ดร.นิเวศ ท่านมีหุ้นอยู่ตัวนึง คือ IRC ตอนนั้นผมงงมาก ตอนแรกนึกว่าเค้าเขียนไม่ครบ(นึกว่า IRPC) ที่ไหนได้มันคือบริษัทเกี่ยวกับยางรถมอเตอร์ไซค์ ผมก็เอากราฟมาเปิดย้อนหลัง ปรากฏว่า ราคาแทบไม่ไปไหนเลย ขึ้นลงช้ามากๆ ตอนนั้นผมไม่สนใจเลย ผมคิดว่ามันไม่น่าซื้อเลย จนกระทั่งได้เห็นเพื่อนของผมเปลี่ยนยางมอเตอร์ไซค์ ยี่ห้อ IRC แล้วเพื่อนคนนั้นก็บอกว่า ยางยี่ห้อนี้ใช้ดี ตกเย็นวันนั้น ผมกลับมานั่งหาบทวิเคราะห์เพื่อจะอ่านให้หมดเลย แต่ มันไม่มีเลยสักโบรกเดียว ตอนนั้นคิดว่ามันคงเป็นบริษัทที่ไม่เอาไหนจริงๆ ก็เลยไม่ได้ซื้อเลยสักหุ้นเดียว

     แต่ตอนนี้มันยังไม่สาย เพราะผ่านมา ราคาหุ้นก็ยังไม่ไปไหนเลย(กราฟอยู่ด้านล่าง) และตอนนี้อยู่ระหว่างการเอารายงานประจำปีมานั่งอ่าน ขอดีอย่างหนึ่งของหุ้นที่ราคาไม่ไปไหนเลย คือ เรามีเวลาศึกษานาน ดังนั้นเราจะใช้เหตุผล มากกว่า อารมณ์ในการซื้อ จริงๆถ้าหุ้นทุกตัวที่เราศึกษาก่อนจะซื้อ ระหว่างศึกษาเราไม่ควรเปิดราคาดูเลย เพราะมันทำให้ใจเราหวั่นไหว เราควรจะศึกษาให้รอบด้านก่อน แล้วถ้ามันเป็นธุรกิจที่พื้นฐานดี แต่เราคิดว่าราคามันถูกกว่าความเป็นจริง เราก็ซื้อ (พูดง่ายแต่ทำยากอีกแล้ว) ตอนนี้ในตลาดยังมีหุ้นแบบนี้อีกเยอะ ที่ราคาไม่ไปไหน แต่จะเล่นหุ้นแบบนี้ได้ ต้องอึดมาก และต้องไม่อิจฉาคนอื่นด้วย เพราะตอนที่หุ้นคนอื่นขึ้น บางทีหุ้นเราอาจจะไม่ขึ้นด้วย หุ้นเราจะขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมันกลายเป็นที่นิยมของตลาด มีตัวอย่างก็คือ JAS มันจะเป็นประมาณนี้แหละ วิ่งอยู่ประมาณ 0.50 บาทตั้งนาน อีกตัวก็ CPF กับ CPALL ที่ไม่ไปไหนมาตั้งนาน แต่พอขึ้นทีรวยกันมหาศาล

อันนี้กราฟของ หุ้น JAS

JAS นีวิ่งอยู่ในช่วง 0.20  - 0.80 ตั้งนาน (บางคนอาจจะคิดว่า ตั้ง 4 เท่าแหนะ) แต่ลองเทียบกับเมื่อไม่นานนี้สิ เกือบ 4 บาท คนละเรื่องเลย หุ้นตัวนี้วิ่งอยู่ในระดับต่ำ นานพอสมควร คือตอนนั้นมันยังไม่มีข่าวอะไรที่ดีมากมาย ออกจะเป็นหุ้นที่น่าเบื่อ และช่วงปี 2008 หุ้นก็ร่วงไปประมาณครึ่งนึง ถือว่าวัดใจกันจริงๆ และแล้วจุดปลดล็อกมันก็มาถึง ข่าว Internet Broadband หรือ VI เข้าซื้อหุ้น และอะไรอีกหลายอย่างมากมาย หุ้นตัวนี้ก็กลายเป็นที่สนใจของนักลงทุน และสุดท้ายมันก็เป็นไปตามกฏ ขึ้นมาแรง ก็ร่วงลงไปแรง

     หน้าที่ของเราก็คือถือหุ้นที่น่าเบื่อ รอจนมันน่าสนใจ และแล้วก็ขายตัวที่น่าสนใจนั้น ให้คนที่กำลังอยากได้ไป แล้วเราก็ไปหุ้นตัวใหม่ที่มีลักษณะแบบเดียวกันและถือต่อไปจนมันหมดความน่าเบื่อ  สมมติว่าคุณซื้อหุ้น JAS ได้ในปี 2006 ตอนนั้นมันน่าเบื่อมากๆ เพราะมันตกมาอยู่ใต้ 1 บาท และอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน สมมติว่าซื้อได้ทีี่ราคาเฉลี่ย 0.40 บาท และพอเดือน 7 ปี 2010 มันขึ้นแรงมาก พร้อมกับข่าวดีที่ออกมา ตอนนั้นคุณกำลังเตรียมหาหุ้นใหม่ พอครบ 1 เดือน คุณได้หุ้นที่คุณชอบแล้ว คุณก็ขายตอนเดือน 8 ปี 2010 ที่ราคาปิดของเดือน 8  1.33 บาท คุณจะได้กำไรประมาณ 300 % ใน 5 ปี (ไม่ต้องไปรอขายที่ Peak ของราคาหรอก เพราะเราไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน) ซึ่งมันก็เยอะมาก โอกาสแบบนี้คงไม่เกิดบ่อยๆ แตุ่้ถ้าเกิดทีคุณก็จะรวยอย่างไม่รู้เรื่องเลยทีเดียว

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

ตลาดหุ้นไม่ไปไหน

     ในตอนนี้ SET ไม่ไปไหนเลย วนเวียนอยู่แถวๆนี้ตลอด วันนี้พอมีเวลาว่าง พอเลยเอาบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ และ กูรูหลายๆท่าน มานั่งอ่าน มีทั้งบอกว่าจะหลุด 1000 จุด และ จะเกิน 1200 จุด จะเห็นว่ามันขัดแย้งกัน แล้วมันแปลว่าอะไร มันแปลว่าตอนนี้ตลาดไม่ถูก และ ไม่แพง เพราะความเห็นมันยังขัดแย้งอยู่ อันนี้คือภาพรวมของตลาด ทีนี้ลองมาดูหุ้นรายตัวกันบ้าง (อันนี้เจอมากับตัวเอง) หุ้น BCP หรือ บางจากปิโตรเลียมนั่นเอง ตัวนี้ผมซื้อมานานแล้ว (ราคาถูกกว่าตอนนี้พอสมควร) ตอนนี้ถ้าอ่านบทวิเคราะห์ บางโบรก ให้น้ำหนัก Hold บ้าง Buy บ้าง (ตอนนี้ราคาอยู่ประมาณ 22 บาท) แต่ตอนที่ราคาขึ้นไปประมาณ 25 บาท ตอนนั้น ทุกโบรกมีความเห็นเดียวกันว่า Buy นี่แหละคือความจริง ตอนนั้นคนมีความเห็นตรงกันว่าควรจะต้องซื้อราคามันจึงวิ่งขึ้นไปแรง สุดท้ายมันก็กลายเป็นฟองสบู่ขนาดย่อมๆนั่นเอง ทีตอนนี้ราคาถูกลง ไม่เห็นมีโบรกไหนเชียร์ซื้อเลย พื้นฐาน(จริงๆ)ของกิจการมันคงไม่เปลี่ยนภายใน 3-4 เดือนหรอก สิ่งที่เปลี่ยนจริงๆคือ Demand ของหุ้นตัวนี้มันลดลง เพราะตอนนี้ทีข่าวยกเลิกกองทุนน้ำมัน(ชั่วคราว) ทำให้คนคิดกันว่า บางจากจะขายแก๊สโซฮอลไม่ได้ จะกำไรลดลงจริงหรือไม่จริง ผมไม่รู้ แต่ผมก็ยังไม่คิดจะขายหุ้นตัวนี้อยู่ดี เพราะราคาน้ำมันดิบตอนนี้ยังอยู่ไม่เกิน 90 เหรียญ เลย(คราวที่แล้วก่อน Subprime ราคาวิ่งขึ้นไป 140 เหรียญ) หน้าที่ผมก็คือถือรอภาพรวมของตลาดน้ำมัน มันมี Demand ที่เกินความจริงก่อนแล้วผมจะขายแล้วย้ายไปเล่นหุ้นกลุ่มอื่นแทน กลุ่มที่มันมี Demand น้อยเหมือนน้ำมันในปัจจุบัน

     ณ เวลานี้ ก็มีหุ้นที่ราคาลงมาถูกในความคิดของผมก็คือ PTTEP กับ IRPC ว่ากันที่ PTTEP ก่อน ตัวนี้โตมาเร็วมาก ราคาหุ้น ภายในปีนี้ เคยขึ้นไปถึงเกือบ 200 (ถ้าจำไม่ผิด) แต่ตอนนี้ราคาเหลือ 163 บาท ลงมาพอสมควร เพราะ ข่าวที่บริษัทจะขายหุ้นเพิ่มทุน มูลค่ามหาศาล ทำให้ราคาหุ้นร่วงมาก่อนจะเพิ่มทุนซะอีก ถ้าดูกันในเรืองของ Demand & Supply ของหุ้น ตอนนี้ Supply คงมากกว่า Demand แล้ว ทีนี้มาดูที่ IRPC ตัวนี้ผมถือว่าถูกเลยทีเดียว ตัวนี้ลงมาจากประมาณ 6 บาท คือมันมีข่าวว่าจะปิดปรับปรุงโรงงาน ทำให้ขาดรายได้ไป และบวกกับ ธุรกิจปิโตรเคมีเป็นขาลง น้ำมันร่วงมาเยอะ ทำให้หุ้นตัวนี้มีราคาอย่างที่เห็น ตอนนี้เหลือ 4.76 บาท ที่ราคานี้ PE อยู่ที่ 11 บวกปันผล 3.5% ก็เป็นดีลที่น่าสนใจทีเดียว แต่มีข้อแม้ว่าเงินที่เอามาซื้อหุ้นตัวนี้ต้องเป็นเงินนอน เพราะผมเห็นมันซึมมานานแล้ว และที่สำคัญที่สุดคือใจ เพราะถ้าคุณทำใจไม่ได้ที่จะเห็นตัวแดงในพอร์ตของคุณ คุณก็ไม่ควรจะยุ่งกับหุ้นตัวนี้ พอซื้อเสร็จแล้ว มันจะไหลลงไปเรื่อยๆ แต่ที่ผมคิดว่าจะซื้อหุ้นตัวนี้เพราะผมไม่รู้ว่าจุดต่ำสุดของหุ้นตัวนี้มันอยู่ที่ไหน ผมซื้อมาที่ราคา 5.10 บาท และตอนนี้มันก็เป็นตัวเดียวของพอร์ตผมที่ขาดทุุน แต่ผมมั่นใจว่าในอนาคตมันต้องกำไร (เพราะขาดทุนผมไม่ขาย 555) แต่ตอนนี้จุดต่ำสุดมันอยู่ที่ไหน ผมก็ยังมองไม่เห็นเหมือนกัน ไว้มันขึ้นไปแล้ว แล้วผมจะมาบอกว่าจุดต่ำสุดของหุ้นตัวนี้มันอยู่ที่ไหน ... ^_^




 *ต้องศึกษาและเรียนรู้ด้วยคนเองนะครับ อันนี้ลิงค์ไปดาวโหลดรายงานประจำปี http://www.irpc.co.th/other/ir_home_th.html

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

เหตุผลกับการเล่นหุ้น

     พูดถึงเรื่องการเล่นหุ้น ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ค่อยชอบศึกษาก่อน (บางคนอาจจะบอกว่า ซื้อหนังสือมาอ่านก่อนแล้ว เล่มนึง!) อันนั้นเค้าไม่เรียกว่าศึกษาอย่างจริงจังนะครับ เค้าเรียกว่า ทำความเข้าใจ เท่านั้นเอง ที่เป็นอย่างนั้นมันมีเหตุผล คือ ธรรมชาติของมนุษย์จะไม่ชอบอ่าน ไม่ชอบศึกษาในสิ่งที่เราไม่เข้าใจเลย (ตอนนี้บางคนอาจจะเถียงว่า ยิ่งไม่รู้ยิ่งต้องศึกษาสิ) จริงๆแล้ว ลองทดสอบดูง่ายๆก็คือ ให้หนังสือมา 2 เล่ม เล่มที่ 1 เป็นเืรื่องที่คุณพอรู้บ้างเกี่ยวกับเนื้อหาในเรื่องนั้น กับอีกเล่มนึง คุณไม่เข้าใจอะไรเลย แม้กระทั่งชื่อเรื่อง คุณจะอ่านเล่มไหนก่อน  ฉะนั้น การเล่นหุ้นก็เหมือนกัน คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบศึกษาก่อน เพราะไม่เข้าใจอะไรเลย อ่านเสร็จเจอคำว่า PE ,PBV, DCF และอีกมากมาย ก็งงแล้ว คำแนะนำของผมคือ คุณอ่านไปเถอะ ไม่เข้าใจไม่เป็นไร แล้วลองเล่นดูเลยแต่ใช้เงินเริ่มต้นน้อยๆ ตรงนี้แหละสำคัญ เพราะที่ผมศึกษามาแทบไม่มีใครเลย ที่เล่นครั้งแรกแล้วรวยเลย(ส่วนใหญ่จะรวยชั่วคราว) พอคุณเริ่มเจ็บตัว เท่าั้นั้นแหละ คุณจะเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง หนังสือทุกเล่มเกี่ยวกับการลงทุนคุณจะมีพลังวิเศษในการอ่าน อ่านอย่างไม่เหนื่อยเลย (อันนี้เป็นเรื่องจริงจากชีวิตผม) แล้วคุณจะเจอแนวทางในการลงทุนของตัวเอง แต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกครับ

     หลังจากผมเจ็บตัวอย่างหนัก ในครั้งแรกๆ ตอนนั้นขาดทุนประมาณ 60-70% (สยองมาก) แต่ตอนนั้นผมโชคดีอยู่อย่างคือ ผมไม่ได้เงินทั้งหมดเล่น ทำให้ตอนนี้ผมเหลือเงินเพื่อมาเริ่มต้นใหม่ได้ และมันก็คืนทุนไปแล้ว ตอนนั้นผมขาดทุนเยอะมาก จนหยุดเล่นไประยะหนึ่ง แต่ตอนที่หยุดเล่นนั้น ผมไม่ได้ยอมแพ้ ผมพยายามศึกษาที่จะกลับมาเล่นให้ได้ ความรู้สึกในตอนนั้นต่างกับการศึกษาครั้งแรกมาก ครั้งที่สองนี้ยอมรับว่าใช้เวลาในการอ่านต่อวันเยอะมาก ศึกษาอย่างละเอียด เค้าดูเว็บบอร์ดเยอะมากๆ สุดท้ายก็มานั่งวิเคราะห์ และสรุปผลที่ได้ศึกษามา วิธีการวิเคราะห์ของผมอาจจะแปลกกว่าคนอื่น แต่มันได้ผลจริง(ลองใช้ดู) คือ พอผมอ่านเสร็จผมก็จะมาเล่าให้คนรอบข้างฟัง(คนรู้ใจ) พอเล่าไปเรื่อยๆมันเหมือนการได้อธิบายให้ตัวเองฟัง พร้อมกับการคิดแบบเป็นตัวของตัวเอง มันทำให้ผมได้แนวคิดใหม่ๆ ทุกครั้งที่ผมเล่า แต่คุณต้องแน่ใจว่าคนรู้ใจของคุณต้องไม่เบื่อที่จะฟัง (ผมโชคดีตรงที่เค้าไม่เบื่อ)

     และแล้วผมก็ได้พบอยู่อย่างเกี่ยวกับตลาดหุ้น คือ คนที่เข้ามาเล่นส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นคนที่ฉลาดและเก่งขนาดไหน มีแนวโน้มว่าจะขาดทุนมากถ้าไม่มีเหตุผลพอ เรื่องง่ายๆที่ผมพลาดมากๆ และผมจะจำตลอดไปคือ ตอนที่ผมซื้อหุ้นครั้งแรก ผมอ่านข่าวหนังสือพิมพ์มา เจอหุ้นตัวนึงมีข่าวดีสุดๆ และพออ่านบทวิเคราะห์ฺของโบรกเกอร์ มันทำให้ผมจินตนาการว่า บริษัทนี้มีอนาคตที่สุดยอดมาก ตอนนั้นหาอะไรที่ร้ายไม่ได้เลย ผมจึงตัดสินใจซื้อ ผ่านไปไม่นาน ราคาก็ร่วงเละเทะ (ตอนนั้นจำได้่ว่า PE ประมาณ 20 แล้ว Dividend ก็ 1% กว่าๆ) ตอนแรกผมไม่ยอมขาดทุน เพราะคิดว่าเด๋วก็ขึ้น สุดท้ายพอร่วงมาเยอะๆ ขาดทุนเละเทะ เลยครับ เพราะทำใจถือต่อไม่ได้ บทเรียนครั้งนั้นทำให้ผมตาสว่าง จริงๆมันเป็นหลัก ตรรกศาสตร์ง่ายๆเลยคือ เมื่อทุกอย่างมันดี ทุกคนก็ซื้อกันหมดแล้ว ราคามันก็เลยแพง และหลังจากนั้น คนที่เค้ากำไรเยอะเค้าก็ Sell on Fact ราคาที่แพงเว่อร์นั้น มันก็ร่วง พอร่วงมันก็จะมีข่าวมา Support จากนั้นก็ร่วงกระจาย(สังเกตุดูดีๆ ข่าวมันจะมาหลังราคาหุ้นวิ่งเสมอ) มันเป็นเหตุเป็นผลง่ายๆเลย ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นคิดไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะความโลภบังตา

     ตลาดหุ้นเป็นตลาดที่คนส่วนใหญ่คิดว่าจะเข้ามาหาเงินง่ายๆ ดังนั้นไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่จะเจ๊งออกไป คนที่อยู่ในรอดในตลาดหุ้นนั้น ส่วนใหญ่เค้าเทพกันทั้งนั้น ดังนั้นถ้าคุณไม่ทำการบ้านมาดีพอ และมีจิตใจที่ไม่มั่นคงพอ คุณตกเป็นเหยื่อของเขาแน่นอน คนส่วนใหญ่ชอบเชื่อเวลาขาใหญ่มาออกข่าวว่า กำลังดูหุ้นตัวนี้อยู่ หรือ เก็บไปแล้วส่วนหนึ่ง กำลังจะเก็บเพิ่ม คุณลองคิดด้วยเหตุผลดู ถ้าเค้าจะเก็บเพิ่มจริงๆ เค้าจะออกมาบอกทำไม ในเมื่อถ้าเค้าบอกแล้วคนเชื่อ หุ้นตัวนั้นจะวิ่งจนเค้าต้องซื้อแพงขึ้น (คงไม่มีใครอยากซื้อของแพง จริงมั๊ย?) วิธีที่ถูกต้องในการเล่นหุ้นคือ คุณต้องศึกษาพื้นฐานของบริษัทจริงๆ และซื้อเวลาที่มันถูกเท่านั้น การจะบอกได้ว่าถูก ก็คือคุณต้องศึกษาเองเท่านั้น คุณถึงจะบอกได้ว่ามันถูก 

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ในภาวะหุ้นลง

     ในตอนที่หุ้นปรับตัวลง สังเกตุมั๊ยว่าเมื่อหุ้นตกไปเรื่อยๆ ข่าวร้ายก็จะออกมาก Support ไปเรื่อยๆ และโบรกเกอร์(หลายๆที่ และ หลายๆประเทศ) ก็จะออกบทวิเคราะห์มา Downgrade หุ้นลง และบวกกับแรงเเทขายมหาศาล(มีทั้งคนที่อ่านแล้วเชื่อ และคนที่ต้องการใช้คนอื่นเชื่อ เป็นคนขาย) ผลลัพธ์ก็คือ ราคาหุ้นก็ร่วงกระจาย  เท่าที่ผมสังเกตุมา เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดตอนที่ตลาดปรับฐานด้วย  ผมคิดว่าเหตุผลน่าจะมาจาก เวลาที่ปรับฐาน ราคาหุ้นก็ร่วงไปมากอยู่แล้ว(ง่ายต่อการทุบ)  จะมีนักเล่นหุ้นที่เทรดไวมาก จะตกใจและขายออกไปก่อน ทีนี้พวกที่ซื้อหุ้นโดยใช้มาร์จินก็เริ่มเดือดร้อน ทีนี้พอโบรกเกอร์ออกบทวิเคราะห์ Downgrade หุ้นออกมาอีก บวกกับแรงขายอันมหาศาล ผลลัพธ์ก็ึิคือ หุ้นร่วง และพอร่วงถึงจุดหนึ่ง พวกที่เล่นมาร์จินก็จะโดน Force Sell ทีนี้ก็ร่วงหนักไปอีก และพวกที่ไม่มีหุ้นแต่อยากได้กำไร ก็ Short หุ้นซะ   และแล้ว พอทุกคนร่วมมือกัน ราคาก็ิ่ดิ่งลงสู่เหว กลายเป็นโศกนาฏกรรมร้ายแรงสำหรับนักลงทุน

     ผมในฐานะที่ชอบถือยาว ผมชอบเหตุการณ์แบบนี้มาก ไม่ว่าผมจะมีหุ้นตัวนั้นอยู่หรือไม่(บ้าไปแล้ว) เหตุผลคือ การที่อยู่เฉยๆ แล้วราคาจะลงหนักขนาดนี้ คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น นี่แหละเป็นโอกาสทองในการเข้าซื้อหุ้น เพราะมันถูกมาก ส่วนใหญ่เมื่อเกิด Panic Sell ราคาหุ้นมักจะถูกกว่าความเป็นจริง หรือคิดง่ายๆก็คือ Downside มันลดลงกว่าเดิมแล้ว คนที่มีหุ้นอยู่ก็อย่าไปเครียด เพราะเมื่อมีคนทุบ มันหมายความว่าเค้ากำลังจะเข้าไปเก็บ(ถูกมั๊ย ไม่งั้นจะลงทุนทุบทำไม) ถ้าเค้าเก็บจนพอใจแล้ว เค้าก็จะลากมันขึ้นไปเอง และส่วนใหญ่มันก็จะเกินราคาที่วิ่งอยู่ก่อนทุบซะด้วย เพราะ มันเป็นจิตวิทยานะสิ ลองคิดดู สมมติว่าคุณถือหุ้นตัวที่โดนทุบนี้อยู่ ตอนมันราคาปกติ 5 บาท เค้าทุบกันจนเหลือ 2 บาท สุดท้ายเค้าลากกับขึ้นมา 5 บาท คุณว่าตอนนั้นคุณจะขายมั๊ย คุณว่าคนส่วนใหญ่(ที่เจ็บตัวมา)คิดว่ามันจะขึ้นเกินเดิมหรือ ?  แสดงว่าตอน 5 บาท Volume ขายจะเยอะมาก และถ้าผมเป็นเจ้ามือ ผมคงไม่ออกตอนนั้น เพราะว่าผมมีหุ้นเยอะ คงออกไม่ทันรายย่อย ผมก็จะรอให้มันลงมาสักนิดนึงก่อน หลังจากนั้นผมจะเก็บเพิ่มพร้อมกับปล่อยข่าวดีออกไป พอหลุดช่วง 5 บาทไปได้ บวกกับข่าวดีมากมายในตลาด ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่น่ากลัวที่สุด เพราะเจ้ามือจะสามารถเลือกกำไรที่อยากได้ และแมงเม่าที่เข้าไปตอนนั้นก็เละ !

     วิธีในการช่วยให้คุณกำไรจาก Case นี้คือ อย่างแรกเงินที่คุณเอามาซื้อหุ้น ต้องเป็นเงินเย็น สอง จิตใจคุณต้องมั่งคงพอ และอย่างที่สำคัญ ก่อนซื้อให้คุณคิดว่าเงินก้อนนี้ถ้าเสียไปก็ไม่เป็นไร(บ้าอีกแล้ว) เพราะุถ้าคุณไม่คิดแบบนี้ มันจะทำให้คุณกลัว และขายขาดทุนไปในที่สุด ตอนนี้มันมีแนวทางนึงที่ผมลองใช้แล้วมัน Work คือ สมมติผมมีเงิน 500,000 (เป็นเงินเย็นนะ) ผมจะแบ่งไว้เป็น 10 ก้อน ก้อนละ 50,000 หลังจากนั้นผมจะคอยดูข่าว พอมันเริ่มเข้า Case แบบนี้ ผมก็จะโยนเงินเข้าไป 1 ก้อน แล้วไม่ดูราคาเลย และผมก็จะหาหุ้นแบบนี้ไปเรื่อยๆและทำแบบเดียวกัน โดยตั้งกฏทองเลยว่า ไม่ขายขาดทุน คุณจะสังเกตุได้ว่า หุ้นทุกตัวของคุณมี Dowside แค่ 1 แสนบาท แต่ที Upside ไม่จำกัด ผมว่าถ้าตามหลักสถิติแล้ว โอกาสชนะมันมีมากกว่า และด้วยราคาหุ้นที่ลงมาจากปกติด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้ Downside เนื่องจากราคาหุ้นเองน้อยลงไปอีก แล้วคุณก็ถือต่อไปเรื่อยๆ..... ก็กำไร   แต่มันมี Trick อยู่นิดนึงคือ หุ้นที่เลือกนั้นควรจะเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลบ้าง(อย่างน้อยก็น่าจะ 3% และจ่ายสม่ำเสมอ) + เป็นหุ้นที่มี Market Cap. พอสมควร และสุดท้าย(สำคัญที่สุด) เราต้องศึกษาว่ามันมีอนาคตหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น หุ้น TT&T อันนี้เป็นหุ้นโทรศัพท์บ้านตอนนี้แทบไม่เหลืออะไรแล้วเพราะคนใช้มือถือกันหมด(ลองศึกษาดู) ทีนี้เราพูดเวลาซื้อแล้ว เรามาพูดถึงเวลาที่จะขายบ้างดีกว่า ผมจะขายเมื่อราคาหุ้นมันขึ้นแบบ Over มากๆ ตอนนั้นจะมีแต่ข่าวดีเต็มไปหมด PE จะขึ้นไปมากกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดประมาณ 2-3 เท่า ปันผลจะวิ่งเข้าใกล้ 0% ปันผลนี่สำคัญ ถ้าหุ้นขึ้นไปด้วยปัจจัยพื้นฐาน ปันผลก็ต้องขึ้นตามไปด้วย เพราะธุรกิจมันดีขึ้น แต่ถ้าหุ้นขึ้น แต่ปันผลเท่าเดิม(หรือกำไรเท่าเดิม)มันก็ถือว่าเป็นสัญญานเตือนอย่างหนึ่งว่ามันเริ่มจะ Overvalue แล้ว และในเวลานั้น  Volume จะมากกว่าเวลาปกติมาก

     ตอนนี้ผมลองทำแบบนี้ดูแล้วมัน Work แต่การลงทุนทุกชนิดมันมีความเสี่ยง วิธีนี้เป็นเพียงแนวคิดของผม ซึ่งมันต้องใช้ระยะเวลาในการพิสูจน์ว่าในระยะยาวแล้ว ผลตอบแทนมันสามารถเอาชนะค่าเฉลี่ยของตลาดได้หรือไม่ นักลงทุนที่ดีควรจะศึกษา และ หาแนวทางที่เหมาะกับตัวเอง

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หุ้น PTT

     จากที่ผมศึกษาหุ้นตัวนี้มา ผมสังเกตุเห็นอยู่อย่างว่า หุ้นตัวนี้มี Market Cap. มากที่สุดในตลาด ดังนั้นเวลาหุ้นตัวนี้ขึ้นหรือลง ตลาดก็จะมีแนวโน็มตามหุ้นตัวนี้  ณ เวลานี้ PTT มี Market Cap. 9 แสนล้าน (19 สิงหาคม 2554) ตอนผมมาศึกษาหุ้นตัวนี้ดูใหม่ๆ ผมคิดอยู่ในใจว่าใครเป็นเจ้าของหุ้นตัวนี้ คนนั้นต้องรวยที่สุดในประเทศแน่ๆ และแล้วผมก็ได้รู้ว่า ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของ PTT คือ กระทรวงการคลัง โอ้โห! ฉะนั้นบอกได้เลยว่า นี่คือรายได้ก้อนใหญ่ของกระทรวงการคลังเลย  ลองมาดูปันผลต่อปีคือ(ณ เวลานี้) 3.21% และ Market Cap. อยู่ที่ 9 แสนล้าน กระทรวงการคลังมีหุ้นอยู่ประมาณ 50% พอมาจิ้มเครื่องคิดเลขดูแล้ว ผลปรากฏว่าเงินปันผลที่กระทรวงการคลังได้ ปีละ... 14,445 ล้านบาท(เยอะจัง)   พอดูเจ้าของหุ้นแล้ว เราไปดูกิจการที่ PTT ถือหุ้นอยู่บ้าง หลักๆก็มี BCP 22.46%, IRPC 38.65% ,TOP 49.10% ,PTTEP 65.32%, PTTAR 48.40%, PTTCH 48.68%  ดูแล้วไม่ธรรมดา(เหมือนจะผูกขาดกิจการน้ำมันในประเทศไทย) ดูๆแล้วก็มี ESSO ที่ PTT ไม่มีหุ้นอยู่(เพราะมันเป็นของ Exxon)  

     ทีนี้เรามาดูกันว่ามีข่าวอะไรเกี่ยวกับ PTT ในตอนนี้บ้าง เราเริ่มกันที่ข่าวดีก่อนดีกว่า หนึ่งคือ กำไรของ PTT ตอนนี้ รวม 2 ไตรมาส 67,000 ล้านบาทซึ่งนับว่าสูง เมื่อเทียบกับปีก่อน ตอนนี้ผมนึกได้เท่านี้ครับ(555) อ่าวทีนี้เรามาดูข่าวร้าย(อาจจะมีเยอะหน่อย) เรื่องแรกเลย คือ ไม่นานมานี้เกิดเหตุท่อก๊าซรั่วที่อ่าวไทย ซึ่งทำให้ PTT ต้องรับภาระการนำเข้าน้ำมันเตาเพื่อป้อนให้โรงไฟฟ้า เรื่องที่สอง คือ ราคาน้ำมันดัิบตอนนี้ ที่ดิ่งลมมาอย่างแรง ทำให้มีการคาดการณ์ว่าจะขาดทุนจาก Stock น้ำมัน และเรื่องสุดท้าย(ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันรึเปล่า แต่เคยอ่านเจอบทวิเคราะห์สำนักหนึ่งบอกไว้) ว่าปีนี้ PTT จะลดงบลงทุนลงซึ่งทำให้นักลงทุนคิดว่า กำไรจะไม่โตในอัตราที่สูง ทั้งหมดก็เป็นข่าวดีและข่าวร้ายเบื้องต้นที่ผมเอามาเขียนให้ แต่ถ้าอยากลงลึกกว่านี้ลอง Search ดู (มีเยอะมาก) แต่เอาเป็นว่าภาพรวมในตอนนี้มีข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี รวมทั้งตอนนี้ตลาดหุ้นมีการปรับฐาน ทำให้ราคาหุ้น PTT ยิ่งลงไปใหญ่

     ถ้ามองภาพด้วยความใจเย็น และมีความตั้งใจที่จะลงทุนระยะยาว ผมว่านี่เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะเวลามีข่าวร้ายเยอะบวกกับการปรับฐาน ราคาหุ้นมักจะตกลงไปมากกว่าความเป็นจริง (Panic Sell) และนี่แหละเป็็นโอกาสในการซื้อของถูก แต่เราต้องมั่นใจว่าธุรกิจนั้นเป็นธุรกิจที่มั่นคง ไม่เจ๊งง่ายๆ แล้วพอเราซื้อแล้วเราต้องทำใจได้กับราคาหุ้นที่อาจจะลงไปอีก เพราะเวลาคน Panic ตอนนั้นคนจะไม่สนใจอะไรแล้ว ขอให้ขายได้เป็นพอ  ดังนั้นเราซื้อหุ้นแล้วเราต้องทำใจไว้ก่อนเลยว่าจะต้องลงอึก (มันจะทำให้เราสบายใจขึ้น) อย่าพยายามซื้อที่จุดต่ำสุด เพราะมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก(ต้องดวงเฮงเท่านั้น) และดูจากตอนนี้ Dividend อยู่ที่ 3.21% PE 9 กว่าๆ เทียบกับค่าเฉลี่ยตลาดแล้วถือว่าถูก และความมั่นคงของหุ้นก็ดูได้จากการ ผู้ถือหุ้นใหญ่ และพฤติกรรมการใช้พลังงานของมนุษย์ครับ

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หุ้นกลุ่มพลังงาน

     ช่วงนี้ เป็นช่วงปรับฐานของตลาดหุ้น ทั้งไทยและต่างประเทศ มีอีกอย่างหนึ่งที่ปรับฐานด้วยเหมือนกันคือ ราคาน้ำัมัน ตอนนี้เหลือประมาณ 85 เหรียญนิดๆ


ดูจากกราฟแล้ว ช่วงที่ลงหนักๆเลยก็ปี 2008 ลงจาก 140 เหลือ 30 เหรียญ ตอนนี้คนทั่วไปก็คงจะมองว่า ราคาจะลงจาก 110 เหรียญ เหลือพอๆกับตอนปี 2008 ในความเห็นผม ผมคิดว่า ไม่น่าจะลงถึงขนาดนั้น เหตุผลคือถ้าดูจากกกราฟช่วงปี 2008 จะเห็นว่าน้ำมันนั้นมันขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน มันเป็นหลักธรรมชาติ คือเวลามันจะร่วงมันจะร่วงแรงเหมือนกัน(ไม่เชื่อเด๋วดูทอง) แต่การร่วงในครั้งนี้ ลองคิดในมุมเหตุและผล คุณคิดว่าคนอื่นจะคิดเหมือนคุณหรือไม่ว่า ราคาจะลงไปเหมือนตอน 2008 ทุกคนเปิดกราฟแล้วก็เห็นแบบนั้น (แดงเถือก) ผมเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่คิด ฉะนั้นในมุมนี้ผมว่าเมื่อไม่มีคนอยากซื้อแสดงว่าตอนนี้ราคาน้ำมันถูก แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ลงอีกนะ (ถ้าทำนายได้แม่นจริง ก็คงรวยไม่รู้เรื่องแล้ว)  ในมุมมองของผม ผมว่าตอนนี้หุ้นพลังงานน่าสนใจมาก ถ้าเอาให้ safe สุดในกลุ่มพลังงานก็ PTT เำพราะกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่เยอะมาก ยังไงเค้าก็อยู่ข้างเรา และตอนนี้ PTT มีข่าวร้ายมากระทบเยอะอย่างเช่นท่อก๊าซรั่ว ขาดทุน stock น้ำมัน ราคา NGV ขึ้นไม่ได้ นี่แหละเป็นเวลาที่น่าซื้อที่าสุด อีกตัวก็ IRPC ข่าวร้ายก็เยอะพอๆกัน เช่น ราคาปิโตรเคมีที่เป็นขาลง และ Q4 จะปิดปรับปรุงโรงงาน หรืออื่นๆ อีกมากมาย  ทำให้ราคาหุ้นยังไม่ค่อยไปไหน หุ้น 2 ตัวนี้ถ้าดูจากเงินปันผลที่ได้ จะอยู่ที่ประมาณ 3%กว่าๆ และ PE อยู่ที่ ประมาณ 10-11 (ราคา ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2554) ผมว่าน่าสนใจทีเดียว 

     มุมมองในอนาคตของราคาน้ำมัน หลายๆคนพูดว่าในอนาคตรถยนต์จะเปลี่ยนไปใช้พลังงานไฟฟ้า ไนมุมมองของผม ผมคิดว่า การจะเปลี่ยนโครงสร้างของระบบยานยนต์ คงต้องใช้เวลา และเงินทุนมหาศาล ในการเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น ยอดขายรถยนต์ในตอนนี้ (แถบเอซีย) มีมหาศาลมาก เอาแค่จีนประเทศเดียวก็สุดๆแล้ว หรืออย่างประเทศไทยก็ทุบสถิติเก่าอีก ทั้งที่เศรษฐกิจไม่ได้ดีมาก แล้วรถยนต์ที่ขายออกไปตอนนี้ อย่างน้อยก็มีอายุการใ้ช้งานประมาณ 5 ปี รถพวกนี้ยังต้องใช้น้ำมันอยู่ ดังนั้นอย่างน้อยเราจะต้องเห็นปั๊มน้ำมันต่อไปอีก 5 ปี ส่วนรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีรุ่นใหม่ๆ อย่างเช่น Hybrid, Fuel Cell ,อื่นๆอีกมากมาย ก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก เพราะมีราคา และค่า Maintenance ที่สูง  หรือถ้าอย่างพลังงานทดแทน(น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด) ก็คือ แก๊สโซฮอล กับ ไบโอดีเซล ตอนนี้ก็มี BCP ก็ทำด้านพลังงานทดแทนอยู่ (PTT ถือหุ้น BCP อยู่ประมาณ 22%)  ผมจึงยังมองว่าหุ้นกลุ่มพลังงานยังมี Upside ได้อีก 

     แล้วเราจะรู้ไ้ด้อย่างไรว่าควรขายช่วงไหน คำตอบง่ายๆคือ ขายตอนมันแพงเกินความจริงไปมาก ซึ่งก็คือตอนที่มันเกิด ฟองสบู่ นั่นเอง วิธีสังเกตุว่าเป็นฟองสบู่หรือไม่ ดูไม่ยาก เช่น จะเป็นช่วงที่คนแย่งกันเข้าไปซื้ออย่างน่าตกใจ และบทวิเคราะห์ก็จะให้ราคาเป้าหมายเกินความเป็นจริงไปมาก อย่างก่อนเดิน Subprime ครั้งที่ผ่านมา ถ้าดูจากกราฟจะเห็นว่าราคาน้ำมัันวิ่งมาแบบไม่หวือหวามาก จากนั้นย่อก่อนครั้งนึง แล้วก็พุ่งแบบหยุดไม่อยู่ ตอนราคา 140 เหรียญ ผมจำได้ว่า นักวิเคราะห์ทุกสำนักให้ราคาเป้าหมาย 200 เหรียญกันหมด และมีแต่ข่าวดีต่อราคาน้ำมันทั้งนั้น(ลอง search ดู จะเจอ)  หาข่าวร้ายแทบไม่เจอ และ คิวติดแก๊ส รอนานมาก(อันนี้สังเกตุเอาจากประเทศไทย.. ^_^) นี่แหละคือสัญญานบอกฟองสบู่  ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ ผมจะรู้สึกไม่สบายใจ และขายหุ้นออกมา หลังจากนั้นผมจะไปหา Sector ที่เป็น Downtrend   ดูเหมือนจะบ้า แต่ผมว่ามันทำให้ผมรอดพ้นจากตกเหวได้ 

     สรุป หุ้นกลุ่มพลังงานในความคิดผม ตอนนี้มันอยู่ใน Uptrend จริง แต่ราคายังไม่ไปไหนเท่าไร ทั้งตัวราคาน้ำมันเอง  และตัวหุ้นที่มีข่าวร้ายอยู่อย่าง PTT แลพ IRPC ดังนั้นผมว่าหุ้นยังมี Upside ได้อีกเยอะ และจาก PE กับ Dividend Yield ที่บอกสนันสนุนว่า หุ้นยังราคาถูกนั้น มันเป็นเหตุผลที่ผมกำลังจะซื้อหุ้นกลุ่มนี้

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ข้อควรรู้ในการเล่นหุ้น

     แนวในการเล่นหุ้นหลักๆมี 3 แนว  1.VI 2. Thecnical 3.มั่ว จากประสบการณ์ของผม แนวมั่วน่าจะมีมากที่สุด(ดูจากเวบบอร์ด) ต่างๆยกตัวอย่างแนวมั่ว คือหุ้น ABC มีผลประกอบการณ์คาดว่าจะโต 25% จากปีที่ผ่านมา และอนาคตของกิจการนี้ก็ดูดี ราคาหุ้น ณ วันที่ซื้อคือ 20 บาท หลังจากนั้นผ่านไป
ราคาหุ้นก็ตกลงมาเนื่องจากการปรับฐาน ราคาหุ้นลงเหลือ 15 บาท คนที่เล่นแนวมั่วจะเข้ามาถามความเห็นจากกูรูทั้งหลายว่า ควร Cut Loss ที่เท่าไรดี(นี่คือตัวอย่างการเข้าแบบ VI แต่ออกแบบ Thecnical) หรืออีกตัวอย่างก็คือ เข้าแบบ Thecnical แต่ออกแบบ VI เช่นหุ้น XYZ ราคาทำ Bullish Divergence และ RSI ผ่าน 30 ขึ้นมาแล้ว ซื้อที่ราคา 10 บาท ตั้ง Cut Loss ไว้ 9 บาทสุดท้ายไม่เป้นไปอย่างที่คิด ราคาลงมาเหลือ 8 บาท ตอนนั้นคนที่เล่นแนวมั่วว่า "เอาน่า หุ้นตัวนี้พื้นฐานดี ไม่เป็นไรหรอกเด๋วก็ขึ้น"

     สรุปว่าหลักสำคัญของการเล่น VI คือวิเคราะห์พื้นฐานทางธุรกิจ และดูพื้นฐานของธุรกิจนั้นในอนาคตด้วย และเมื่อซื้อแล้วหุ้นลง เราก็ควรจะซื้อเพิ่มเมื่อมีเงินเพราะมันเป็นธุรกิจที่เราศึกษามาอย่างดีแล้ว และเรารู้ว่ามันต่ำกว่ามูลค่าของมันจริงๆ ราคายิ่งลงมาเรายิ่งควรซื้อเพิ่มเพราะมันถูกลงเรื่อยๆแต่ Thecnical มันคือการเอาสถิติมาทำนายรูปแบบของราคา ดังนั้นโอกาสที่จะไม่เป็นอย่างที่สัญญานต่างๆบอก ก็มีโอกาสสูง คือ Thecnicalมันบอกได้ว่ามีโอกาสขึ้นมากกว่าลง เท่านั้น! ดังนั้นถ้ามันผิดทางก็ Cut Loss ออกไป ไม่ใช่ Let Loss Run

     ข้อสังเกตุอย่างหนึ่งของคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นคือ ต้องการที่จะรวย(เร็ว) แล้วสุดท้ายก็เจ๊งไปส่วนใหญ่ ถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็เข้ามาด้วยอารมณ์ไม่อยากรวย คือเล่นเหุ้นเพราะอยากมีพอกินพอใช้ ไม่จำเป็นต้องรวย แต่ขอให้เงินก้อนนี้มันเลี้ยงเราได้ ก็พอใจแล้ว โดยปกติกูรูแนว VI หลายๆท่านบอกไว้ว่าให้หวังกำไรจากตลาดหุ้น 15% ต่อปีก็ถือว่าหรูมากแล้ว (ตลาดหุ้น DJI ระยะยาวเฉลี่ยนประมาณ 10% และ Warren Buffet 29%แต่ขณะนี้ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2554 ไม่รู้ว่าผลตอบแทนของ Warren จะเหลือเท่าไร)

     จะเล่นแนวไหน ก็ต้องลองดู เพราะสุดท้ายการอ่านก็ช่วยคุณไม่ได้ 100% ไม่งั้นคงไม่มีคนขาดทุนจากการเล่นหุ้น  ข้อแนะนำที่ดีที่สุด ก็คือลองเล่นเลย แล้วคุณจะรู้ว่าแนวไหนเหมาะกับตัวคุณ สำคัญที่อย่ามั่ว!

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จังหวะในการเข้าซื้อหุ้น

     จังหวะในการซื้อหุ้นเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ของการลงทุนในหุ้น อย่างเช่น VI วิเคราะห์(จินตนาการ) ธุรกิจได้แม่นยำขนาดไหน ถ้าเข้าผิดจังหวะมันก็ทำให้พอร์ตเรามีสีแดงนานเหมือนกัน ยกตัวอย่างหุ้น PTT สมมติว่าผมวิเคราัะห์แล้วว่าในอนาคต PTT ต้องโตอีกเยอะมาก ราคาหุ้นแค่ 400 กว่าๆถือว่าถูก หลังจากวิเคราะห์เสร็จผมก็เข้าซื้อทันทีเลย ปรากฏว่าราคา ณ วันนี้เหลือ 300 ต้นๆ ถามว่าในอนาคต PTT มีความน่าจะเป็นที่ราคาจะเกิน 400 มั๊ย ผมว่ามีสูง เหตุผลที่ง่ายๆเลยคือ เงินเฟ้อ  ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจไม่ต้องโตเพิ่มเลย แต่ มันก็ทำให้กำไรโตได้ (เริ่มงง *_*)   เอาตัวอย่างดีกว่า  สมมติบริษัท ABC มีกำไร 100 ล้านต่อปี เงินเฟ้อเฉลี่ย 5 % ต่อปี กำไรต่อปี(ไม่โตเลยนะ กำไรเท่าปีที่แล้ว) 100 ล้านบวกเงินเฟ้อ 5 % จะกลายเป็น 105 ล้านบาท เห็นมั๊ย ธุรกิจไม่ต้องขยายการลงทุนเพิ่มเลย รอเงินเฟ้ออย่างเดียว ก็สามารถลงข่าวได้แล้วว่ากำไรโตกี่เปอร์เซ็น เมื่อเทียบกับ ไตรมาส หรือ ปีที่ผ่านมา แต่ถ้าธุรกิจนั้นมีเงินสดในมือสูง มีการขยายธุรกิจในอัตราส่วนที่สูง บวกกับเงินเฟ้อเข้าไป มันจะโตขนาดไหน

     กลับมาที่เรื่องของจังหวะในการซื้อ ถ้าคุณซื้อ PTT 400 บาท โอเค ในอนาคตมันกำไีร แต่ตอนนี้มันแดง(ไม่น่ารื่นนมย์เท่าไหร่นัก) ฉะนัั้นให้ธุรกิจดีขนาดไหน ผมว่า รอจังหวะตอนมันมีข่าวร้าย เช่นตอนนี้มี วิกฤติเศรษฐกิจจากฝั่งตะวันตกเกือบทุกประเทศ มีจราจลมากมาย สหรัฐโดนลดเรตติ้ง โอ้โห ข่าวร้ายทั้งน้าน คนส่วนใหญ่คิดว่าเวลานี้ไม่น่าซื้อหุ้นอย่างยิ่ง (น่าซื้อทองมากกว่า ไม่เชื่อดูราคา ขึ้นวันละ 50 เหรียญ เกิดมาไม่เคยเห็น)  แต่ตามหลัก ตรรกะศาสตร์+Demand&Supply แล้ว เมื่อไม่มีคนอยากซื้อ แสดงว่าตอนนี้ราคาถูกแล้ว เราก็เข้าซื้อบริษัทที่เราจินตนาการว่ามันดี เราก็เข้าซื้ออย่างใจเย็น และแล้วมันก็จะลงไปอีก(5555) จริงครับ  เพราะคุณคาดการณ์ไม่ได้หรอกว่าราคาที่คุณซื้อนั้นมันต่ำที่สุดรึยัง แค่ตอนที่คุณซื้อนั้นคุณคิดว่า Upside มันเพิ่มมากกว่าเวลาปกติก็พอแล้ว และเมื่อดูโปรโมชั่นที่แถมมา อย่างปันผล 3% กว่า PE ต่ำกว่า 10 มันก็น่าสนใจแล้ว

      สรุป เวลาซื้อหุ้นเราควรจะซื้อในเวลาที่ เข้าไปอ่านในหนังสือพิมพ์ หรือ บอร์ดต่างๆ แล้วคุณรู้สึกว่าโอ้โห ทำไมโลกแห่งการลงทุนในหุ้นนั้นมันช่างหดหู่ได้ถึงเพียงนี้ หาข่าวดีไม่ได้เลยหรือ นั่นแหละแปลว่า หุ้นถูก แต่มันมีข้อแม้ว่า เมื่อคุณซื้อเสร็จ ราคามันอาจจะลงไปอีกได้ เพราะมันเป็นขาลงของหุ้น อันนั้นคุณต้องมีความเข้มแข็งในจิตใจสูง นั่นเป็นเหตุผลที่ต้องจินตนาการก่อนเล่นหุ้น ไม่ใช่เชื่อคนอื่น(อ่านมาแล้วซื้อตาม) แต่ผมการันตีได้ว่า การซื้อหุ้นในขาลงมันถูกกว่าซื้อหุ้นในขาขึ้นแน่นอน ไม่เชื่อลองดู ว่าแต่จะทำใจได้รึเปล่้า ยิ่งซื้อยิ่งลง แต่ถ้าทำได้ ผมว่าคุณรวย (ลองอ่านประวัติ กูรู VI ดู เค้ารวยมาจากวิกฤติทั้่งนั้นแหละครับ)

ความถูกแพงของหุ้น

     ในการดูความถูกหรือแพงของหุ้นนั้นมีหลายอย่างมาก เช่น PE , PBV ,Divinded ,และ อื่นๆ อีกมากมาย
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ตัวไหนมันบอกได้จริงๆ่ว่า หุ้นมันถูก คำตอบก็คือไม่มีตัวไหนที่ทำแบบนั้นได้ 100% หรอกครับ ไม่งั้นการเล่นหุ้นคงง่ายพิลึก เช่น เลือกหุ้นตัวที่ PE ตัวที่ต่ำสุดของตลาดและซื้อแล้วถือต่อไปเรื่อยๆ (สักวันมันอาจจะขึ้น)  แต่ในความเป็นจริงแล้วหุ้นบางตัว PE ต่ำยังไง ก็ต่ำขนาดนั้นมาตลอด ลองสังเกตุดูจะมีทุกครั้งที่เราใช้โปรแกรมแสกน PE,PBV ออกมา จะมีชื่อหุ้นบางตัวปรากฏตลอด และหุ้นพวกนี้จะปันผลค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับกำไร 

     ยกตัวอย่าง BECL หุ้นตัวนี้ PE,PBV ต่ำ และในปันผลที่สูง อย่างงี้เรียกว่าหุ้นถูกรึเปล่า ก็อยู่ที่มุมมองว่าคาดการณ์กำไรในอนาคตของบริษัทว่าเป็นอย่างไร เช่นผมมองว่า ในอนาคตรายได้จากค่าผ่านทางจะต้องถูกแบ่งให้รัฐบาล ส่งผลทำให้กำไรของบริษัทลดลง และ การที่จะลงทุนเพิ่มต้องใช้จำนวนเงินมาก ดังนั้นผมจึงมองว่าหุ้นไม่ได้ถูก ทั้งที่ PE , PBV ตำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดมาก
อีกตัวอย่างที่ตรงข้ามกัน CPALL เป็นหุ้นที่ตลาดให้ค่า PE และ PBV สูงมาก มันแสดงถึงว่าคนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าในอนาคตหุ้นตัวนี้จะสามารถมีเปอร์เ็ซ็นต์การโตของกำไรที่สูง อย่างงี้ PE สูง แต่หุ้นแพงรึเปล่า ก็อยู่ที่มุมมองของแต่ละคน เช่น บางคนมองว่าในอนาคตคงไม่สามารถเพิ่มกำไรได้มากเท่าประวัติที่ผ่านมา ก็จะคิดว่าหุ้นตัวนี้แพง แต่ถ้าคิดว่าในอนาคตจะมีการเติบโตที่สูง ก็จะคิดว่าหุ้นตัวนี้ยังถูกอยู่

     ดังนั้นสรุปได้เลยว่า การดูความถูกแพงของหุ้นมันอยู่ที่เราประเมิณว่าธุรกิจนั้น ในอนาคตมันจะโตอีกสักแค่ไหน ซึ่งการประเมิณได้เราต้องมีจินตนาการที่ไกลมาก ตรงนี้เป็น key ของการลงทุนในหุ้น แต่สำหรับมือใหม่อย่างผม ผมคิดว่า ถึงผมจินตนาการได้ไม่ดี หรือ ผิดไปจากความจริงเยอะ ผมก็จะไม่ยอมขาดทุน เพราะบริษัทที่ผมเลือกซื้อ อย่างแรกเลย คือ มี Market Cap. ที่ค่อนข้างสูง คือเกิน 3-4 หมื่นล้านขึ้นไป การมี Market Cap. ที่สูงก็ทำให้เราสบายใจได้ (ปั่นยากกว่าตัวเล็ก) อย่างที่สองคือ ต้องซื้อช่วงที่มันลงมาเท่านั้น เช่นตอนปรับฐาน หรือตอนมีข่าวร้ายมากๆ ซึ่งหุ้นจะราคาถูกกว่าราคาเดิม และอย่างที่สามสำคัญที่สุดคือ ก่อนซื้อศึกษาหุ้นตัวนั้นดีๆว่า มันเป็นหุ้นปั่นที่เจ้าแรงรึเปล่า หาไม่ยากหรอกครับถ้าพยายาม(ดูจากกราฟ+search หาจากในเว็บการลงทุนต่าง) แค่นี้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว ถืออย่างสบายใจ