รายการบล็อกของฉัน

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

จุดสังเกตุของ P/E

     ตอนนี้น้ำท่วมขังในกรุงเทพก็เริ่มคลี่คลายเยอะแล้ว โรงเรียนต่างๆก็เริ่มจะเปิดเรียนแล้ว สถานการณ์ก็จะกลับมาปกติ รถติดตอนเช้า และ ตอนเลิกงานเหมือนเดิม ตอนนี้ดูข่าว ก็เห็นภาคใต้ เริ่มมีพายุเข้า และมีน้ำท่วมในบางพื้นที่ สงสัยครั้งนี้จะโดนน้ำท่วมกันทั้งประเทศ แปลกดีเหมือนกัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ น้ำท่วมครั้งนี้มันสอนให้รู้ว่า สุดท้ายแล้ว ความสุขจริงๆมันไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองที่มีมากมาย เกิินจะกิน จะใช้ไหว แต่มันเป็นความพอเพียง เป็นทางสายกลาง ไม่อดอยาก แต่ ก็ไม่โลภจนเกินไป ความสุขจริงๆมันอยู่ที่การได้มีครอบครัวที่อบอุ่น การมีชีวิตที่ไม่เคร่งเครียด การมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่โกรธ ไม่โมโหง่าย มากกว่า ตอนนี้คนที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดก็คือคนจน มันเป็นโจทย์ที่คนทั้งประเทศต้องช่วยกันแก้ปัญหา เพราะหลังจากน้ำลดแล้ว เค้าไม่มีอะไรติดตัวเลย เค้าไม่เหลืออะไรเลย แถมบางคนยังมีหนี้อีกต่างหาก 


   ผมมานั่งสังเกตุ P/E ของหุ้นแต่ละตัว แล้วผมเจอข้อสังเกตุเกี่ยวกับ P/E ของหุ้นอยู่อย่างนึง ยกตัวอย่าง คือ PTT (ดูจากทรัพย์สินก็รู้แล้วว่าตัวนี้คือ PTT) มือใหม่อย่างผมถูกสอนว่าเวลาจะเลือกซื้อหุ้น ให้เลือกซื้อที่ค่า P/E ต่ำๆ และมันก็มีคำถามต่อมาว่าต่ำขนาดไหนถึงจะดี ผมก็เอาตัวอย่างนี้มาให้ดู คือปี 2551 PTT ราคาเหลือ 175 บาท และเทียบเ็ป็น P/E ก็อยู่ที่ 5 เท่า ถ้าลองคิดแบบง่ายๆก็คือ 5 ปีคืนทุน หารแล้วได้กำไร 20% พูดอย่างงี้แล้วดูเหมือนเล่นหุ้นนี่ง่ายจัง  ปีต่อมา กำไรของบริษัทลดลง ทำให้ P/E พุ่งขึ้นไปถึง 31 เท่า ตอนนี้หุ้นตัวเดียวกัน แต่มือใหม่อย่างผมกลับมองว่ามันแพงซะแล้ว นี่แหละมันเป็นเรื่องของใจ  บวกกับสิ่งที่ได้ศึกษามา เพราะถ้าไม่ศึกษาเลย เลือกแต่หุ้นที่ถูกเพียงอย่างเดียว เจอปีต่อมาก็ตกใจขายหมดเลย และแล้วปีต่อมามันก็ขึ้นเป็น 320 บาทพร้อมกับ P/E เหลือ 11 เท่า งงเลยทีเดียว ที่จะบอกก็คือ P/E นั้นเป็นเป็นค่าที่ผ่านมาแล้วในอดีต สิ่งที่เราควรดูก็คือกำไรในอนาคตของมัน ในกรณี PTT คุณต้องคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบให้ได้ เพราะ มันส่งผลต่อกำไรหรือขาดทุนของ Stock น้ำมัน ซึ่งผมว่ามันยาก หรืออย่างกลุ่มเดินเรือ เราก็ต้องคาดการณ์ BDI หรือดัชนีระวางเรื่อได้ ดังนั้นหุ้นกลุ่มนี้ผมว่ามันเล่นแบบคาดการณ์กำไรยาก แต่ข้อสังเกตุของผมคือ ถ้าจะเล่นหุ้นกลุ่มนี้ ต้องเล่นเวลาที่มันแย่ๆ อย่างเช่นน้ำมันลงไปเยอะๆ ทำไรบริษัทขาดทุน Stock น้ำมัน กำไรลดลง หรือ ขาดทุน ซึ่งมันจะทำให้ราคาหุ้นลงมาเยอะ   แต่เมื่อซื้อแล้วมันจะลงต่อไปจนกว่า ราคาน้ำมันดิบจะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งตรงนั้นเป็นส่วนที่เราต้องอดทนรอ หุ้นแบบนี้เราดู P/E หรือการคาดการณ์กำไรในอนาคตไม่ได้ เพราะมันยากมาก

     หุ้นที่เราจะดู P/E ได้คือหุ้นที่กำไรสม่ำเสมอ เติบโตสม่ำเสมอ คาดการณ์ง่าย แม้จะมีการสะดุดบ้างนิดหน่อย แต่หลังจากนั้น กำไรก็กลับเข้าสู่สภาวะเดิม อย่างเช่นปีนี้ เป็นปีที่สะดุดของหุ้นกลุ่มยานยนต์เลยทีเดียว ต้นปีมี Tsunami ที่ญี่ปุ่น บริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์สะดุด แต่ไม่เยอะ แต่น้ำท่วมนี่แหละ สะดุดจริง ปีนี้อาจทำให้กำไรของบริษัทลดลง ถ้ามองในระยะยาวแล้ว กำไรของบริษัทก็ควรที่จะกลับไปเท่าๆกับของเดิม เว้นแต่ว่า บริษัทผลิตรถยนต์จะย้ายฐานการผลิต ซึ่งในมุมมองผม ผมว่ายาก เพราะการที่จะย้ายทั้งโรงงานไปนั้น มันใช้เงินทุนมหาศาล บวกกับความเสี่ยงอีกมากมาย มันอาจจะไม่คุ้มในการที่จะย้ายหนีไป แล้วน้ำท่วมครั้งนี้มันก็ทำให้ได้เห็นแล้วว่า อุตสาหกรรมโรงงานส่วนใหญ่ในประเทศไทยนั้นเป็นของญี่ปุ่น เค้าลงทุนอะไรหลายๆอย่างไว้เยอะ เป็นเครือข่ายกัน ยากที่จะยกกันไปทั้งกลุ่ม ลองนึกภาพดู ถ้าบริษัทผลิตรถยนต์ย้ายไป เค้าก็ต้องไปหา โรงงานผลิตยาง , โคมไฟ , สายไฟ , กระจก , สี และ อื่นๆอีกมากมาย เพื่อเอามาผลิตเป็นรถยนต์ คงวุ่นวายน่าดู

     อาทิตย์ที่ผ่านมา ต่างชาติเล่นเทขายทุกวันเลย มันเป็นธรรมดาของ Trader พอมีกำไรก็ต้องขายออกไป แล้วยิ่งตอนนี้ ดอลล่าร์เริ่มแข็งตัวขึ้น มันส่งผลให้กำไรของเขาลดลงโดยปริยาย เค้าจึงขายเอากำไรส่วนนี้กลับไปก่อน ไม่แน่การขายครั้งนี้ของต่างชาติอาจทำให้เกิดการปรับฐานอีกครั้งเป็นได้ เพราะเค้าเป็นกลุ่มเงินที่ใหญ่ และมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นบ้านเราเยอะ แต่เราก็ไม่ต้องไปกลัว เพราะตามหลักแล้วมีขึ้นก็มีลงเป็นธรรมดา ตอนลง ราคายิ่งถูกยิ่งน่าเก็บ น่าสะสมไว้

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ในที่สุดวิกฤตน้ำท่วมก็กำลังจะผ่านไป

     ผมต้องหนีนำ้ท่วมอยู่หลายอาทิตย์เลยไม่ได้เข้ามาเขียนบล๊อกเลย (ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีคนเข้ามาอ่านอีกรึเปล่า ^_^ )  หลังจากช่วง 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานคร ประกาศให้พื่นที่ของผมเป็นพื้นที่เผ้าระวังพิเศษ ผมก็เลยตัดสินใจไปต่างจังหวัดซะเลย เพราะเตรียมตัวทุกอย่างไว้หมดแล้ว เหลือแต่ตรวจสอบเรื่องไฟฟ้าให้เรียบร้อย หลังจากนนั้นก็เดินทางออกจากกรุงเทพมหานคร ไปเที่ยวภาคเหนือ โดยไปพักที่บ้านเกิด คือ จ.กำแพงเพชร ก่อน และก็เลยไป จ.ตาก อารมณ์ตอนไปถึง มันต่างกับตอนอยู่กรุงเทพมาก เพราะมันไม่ต้องกังวลว่าน้ำจะมามั๊ย ถ้าน้ำมาจะออกยังไง หรือว่า จะเตรียมอะไรไว้กินดี (ตอนนั้นของกินแทบไม่มีขาย)

    สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากน้ำท่วมครั้งนี้มีหลายอย่างมาก เขียนเป็นข้อๆเลยละกัน เพราะช่วงที่ไปเที่ยวนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้ เลยใช้จดใส่โทรศัพท์มือถือแทน
1. เราควรมีทรัพย์สินแต่เพียงที่จำเป็นต้องใช่เท่านั้น เพราะเวลาเกิดเหตุที่ไม่คาดฝัน ความเครียดมันจะแปลตามทรัพย์สินที่มี ลองนึกภาพคน 2 คนมีรถ 4 คันดูสิ มันยุ่งยากขนาดไหน
2. เราควรเตรียมตัวกับการเกิดวิกฤติเสมอ เช่น มีเงินสดไว้ เผื่อจำเป็นต้องใช้ หรือ มีแทงค์น้ำ เผื่อตอนน้ำประปาไม่ไหล และเตรียมอะไรๆอีกหลายอย่างมากมาย และที่สำคัญทีสุดคือ เตรียมใจ
3. นิสัยของการชอบอ่าน ชอบศึกษา และ ช่างสังเกตุ มันจะช่วยได้เยอะมากในการเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ที่ผ่านมาถ้าใครอ่านและฟังเยอะ (เลือกเฉพาะตรงเหตุผลของแต่ละคนแล้วเอามาวิเคราะห์และติดตามผลลัพธ์เอง) คงจะเข้าใจว่ามันช่วยได้มากขนาดไหน
นี่เป็นตัวอย่างสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากครั้งนี้ แต่จริงๆแล้วมันมีอีกมากมาย แล้วแต่ว่าใครจะมองแบบไหน แต่ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตมันจะมีโอกาสเสมอ อยู่ที่เราหาเจอรึเปล่า

     สำหรับเรื่องหุ้น มันก็ผิดคาดสำหรับการคาดการของคนหลายๆคน ว่าน้ำท่วมครั้งนี้ข่าวร้ายเยอะจัง น่าจะทำให้หุ้นร่วงลงไป บางคนถึงกับยอมขายขาดทุนเพื่อที่จะลงไปรอซื้อตอนมันตกลงไป แต่แล้วมันก็ขึ้นมาเรื่อยๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะขึ้นต่อรึเปล่า แต่ผมรู้ว่าหุ้นที่ผมถือมันยังไม่แพง ผมก็ยังไม่ขายดีกว่า เพราะมันไม่ make sense เลยที่จะขายตอนหุ้นมันราคาถูก คำว่าถูกของแต่ละคนมันก็ต่างกันนะครับ อย่างผม ผมรับได้กับการที่หุ้นจ่ายปันผลให้ผม 4-5 % ต่อปี และมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ Peter Lynch บอกไว้ว่า การเล่นหุ้นเหมือนการเล่น Poker ที่ไม่มีวันจบ กำไรในแต่ละไตรมาสเปรียบได้กับการหงายไพ่ขึ้นมาอีกใบ เราจะอยู่ต่อ ต่อเมื่อไพ่ที่หงายขึ้นมามันดี แต่ถ้าหงายขึ้นมาแล้วมันแย่ติดต่อกัน เราก็ทิ้งไพ่ชุดนั้นซะ แล้วจะเริ่มไพ่ชุดใหม่ (อาจจะงงๆหน่อย)