รายการบล็อกของฉัน

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

Black Monday

     เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ประเทศไทยเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ตลาดหุ้นโดนหยุดการซื้อขายชั่วคราว เพราะดัชนีตกลงมา 10% (ลงถึงรึเปล่าไม่รู้ แต่รู้ว่ามันปิดการซื้อขาย) พอเย็นวันนั้น ผมกลับบ้านมานั่งอ่านข่าว และอ่านตามเว็บบอร์ดต่างๆ ผมพบว่า หลายๆคนกำลังหนีตาย บางคนที่หนีไปได้แล้วก็บอกว่าตัวเองโชคดีมาก บางคนที่หนีไม่ทันก็เป็นทุกข์ กลัวว่าวันรุ่งขึ้นจะตกอีก ซึ่งมันทำให้ผมเห็นว่า ธรรมชาติสร้างมนุษย์มากับความโลภและความกลัวจริงๆ เวลาที่หุ้นขึ้นแรงๆ คนหลายๆคนก็โลภคิดว่าหุ้นต้องขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สุด ความโลภทำให้ลืมเหตุผลข้อสำคัญข้อนึงไปคือ ทุกอย่างมีขึ้นและมีลง ยิ่งขึ้นแรงยิ่งลงแรง เป็นธรรมชาติ และแล้วด้วยความที่มันลงมาแรง ทำให้วันต่อมาตลาดหุ้น บวกกับ พอสมควร หลายๆคนก็เซงไปตามกัน

     สำหรับผมแล้ว ผมมีหุ้นอยู่เต็มพอร์ท ซื้อไว้ตั้งแต่ประมาณ 1030 จุด Black Monday ที่ผ่านมาก็ทำให้พอร์ทของผมติดลบไปไม่น้อย อย่าง PTT ก็หลุด 300 บาท มาได้อย่างชิวๆ ในความคิดของผม ผมคิดว่าทุกตลาดมีความผันผวน ถ้าเราจะลงทุนระยะยาว เราต้องทำใจรับให้ได้ เพราะเหตุการณ์แบบนี้ก็จะมีให้เห็นเรื่อยๆ และมันวัดใจมาก มันเป็นตัววัดว่า คุณจะเล่นหุ้นรุ่งหรือร่วง ถ้าคุณทำการบ้านมาดี ศึกษาหุ้นทุกตัวมาอย่างดีก่อนจะซื้อ คุณจะไม่หวั่นไหวกับราคาที่ร่วงลงไป (หรือหวั่น ก็น้อย) และมันเป็นโอกาสดีซะอีกที่คุณจะได้ซื้อหุ้นในราคาที่ถูกลง และ ปันผลเทียบกับราคามากขึ้น ถ้าคุณสังเกตุ ตลาดหุ้น ตลาดทอง ตลาดน้ำมัน และอื่นๆ อีกมากมาย เดี๋ยวนี้มันผันผวนมาก และความผันผวนนี้มันจะยิ่งเร่ง Cycle มาให้เร็วขึ้น ผมไม่แน่ใจว่าจริงๆแล้วมันเกิดจากอะไร แต่เท่าที่ดูๆมา มันน่าจะเกิดจากกองทุนต่างๆ หรือนักเล่นหุ้นรายใหญ่ที่มีเงินมหาศาล การซื้อขายแต่ละที สามารถชีนำตลาดหุ้นได้ หรืออาจจะเกิดจาก ระบบเทรดของนักเล่นแนว Thecnical ก็ได้ ที่ระบบของพวกเขามีการตั้ง Cut Loss พอรวมกันมันก็เลยร่วงจริงๆ อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าสาเหตุที่แท้จริงมันเกิดจากอะไร แต่ผมคิดว่าทุกอย่างที่มันมีข้อเสียมันก็จะมีข้อดีอยู่ด้วยกันเสมอ อย่างเช่น ความผันผวนเหล่านี้มันยิ่งเร่ง Cycle ให้เร็วขึ้น ดังนั้นมันแปลว่า ถ้าคุณซื้อแล้วติดดอย คุณจะสามารถลงจากดอยได้เร็วขึ้น หรือ เวลาที่คุณอยากได้หุ้นอะไร แต่ราคามันยังแพงอยู่ คุณก็จะได้ซื้อเร็วขึ้น

     ทุกอย่างมันมีมุมมองดีๆเสมอ อยู่ที่เราเลือกจะมองรึเปล่า ชีวิตของเรา เราเริ่มจากศูนย์ ผมไม่กลัวที่จะกลับไปศูนย์ ขอให้ผมได้ทำในสิ่งที่ผมชอบ (และไม่เดือดร้อนใคร) การลงทุน เป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด ผมชอบที่จะอ่าน ชอบที่จะศึกษาเกี่ยวกับทุกๆอย่างที่ผมจะซื้อ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ มือถือ หุ้น และหลายๆอย่างในชีวิตประจำวัน ผมจะใช้เวลาศึกษาค่อนข้างนาน และผมจะมีความสุขมาก ที่ได้ครอบครองสิ่งที่ผมศึกษามาอย่างดี ทุกอย่างมันมีขึ้นและมีลง ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง และทุกอย่าง วันนึงมันก็ต้องจากเราไป และวันนึงมันก็อาจจะกลับมาใหม่ แต่สิ่งที่มันจะจากเราไปได้ยากที่สุด คือใจของเรานั่นเอง ใจที่มันมีความสุข เราลองมาทำใจให้มีความสุข (แม้มันจะสวนเทรนด์ของตลาดหุ้นตอนนี้ก็เถอะ) ผมหวังว่าบทความที่ผมเขียนขึ้นมา จะเป็นกำลังใจให้กับคนที่ยังขาดทุน และมีความเครียดอยู่ ได้นะครับ ตอนที่ผมเริ่มเล่นหุ้นใหม่ๆแล้วขาดทุน ผมอยากอ่านสิ่งมันอ่านแล้วทำให้มีกำลังใจ วันนี้ผมเห็นว่ามีหลายคนกำลังอยากได้กำลังใจนี้ ผมเลยอยากเขียนออกมา หวังว่ามันคงช่วยได้นะครับ

แบ่งปันความสุข

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

หุ้นที่น่าเบื่อ : IRC

     IRC มีชื่อเต็มว่า อินโนเว รับเบอร์(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทนี้ดำเนินกิจการมา 40 ปี ทำธุรกิจเกีี่ยวกับการแปรรูปยาง และ มีบริษัทแม่คือ อินโนเว รับเบอร์ อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น บริษัทมีโรงงาน 2 แห่ง อยู่ที่จ.ปทุมธานี และ จ.อยุธยา ความน่าสนใจอยู่ที่บริษัทเกิดมาแล้ว 40 ปี เป็นบริษัทที่มีขนาดเล็ก Market Cap. ประมาณ 2200 ล้านบาท มี Free Float แค่ 30% และที่สำคัญคือ Volume ต่อวันน้อยมาก คือ แค่หลักแสนต่อวัน หุ้นตัวนี้ราคานิ่งมาก แต่อีกมุมนึง มันก็เป็นที่น่าสนใจของคนที่คิดจะถือยาว ด้วยพื้นฐานของบริษัท และ Dividend ที่ค่อนข้างสูง (ประมาณ 4.5%)

     IRC คนส่วนใหญ่อาจจะคิดว่าบริษัทผลิตแต่ยางรถมอเตอร์ไซค์ แต่ที่จริงแล้ว เป็นการผลิตยางมอเตอร์ไซค์ 45% (แบ่งเป็น ส่งออก 15% และ ขายในประเทศ 30%) และเป็นการผลิตยางเพื่ออุตสาหกรรม อีกประมาณ 50% (ส่งออก 10% ขายในประเทศ 40%) เปอร์เซ็นต์ที่เหลือคือผลิตวงล้อรถมอเตอร์ไซค์   ยางเพื่ออุตสาหกรรม ก็คือ พวกยางที่ใช้กับรถยนต์และเครื่องจักรต่างๆ ยกตัวอย่าง เช่น ยางแท่นเครื่อง ยางขอบกระจก วาล์วน้ำ และ อื่นๆ อีกมากมาย ในด้านรถยนต์ก็มีลูกค้าเป็นค่ายรถยนต์ที่ประกอบในประเทศเกือบทุกค่าย เช่น โตโยต้า ฮอนด้า ถ้าดูจากสัดส่วนการผลิตแล้ว นับคร่าวๆ ก็อย่างละครึ่ง ดังนั้นคือ บริษัทพึ่งพาทั้งรถยนต์ และ รถมอเตอร์ไซค์ และ เน้นการขายในประเทศเป็นหลัก (80%) มองแล้ว ไม่น่ามีผลกระทบจากการส่งออกเท่าไรนัก ดูด้านการเงิน บริษัทมีหนี้สินอยู่ 1300 ล้านบาท แต่มีทรัพย์สินทั้งหมด 3300 ล้านบาท หนี้สินต่อทรัพย์สินก็ถือว่าไม่มาก

     ถ้าดูอย่างคร่าวๆแล้ว บริษัทนี้มีความน่าสนใจอยู่พอสมควร แต่มีข้อเสียตรงที่ Freefloat ต่ำ และมีหุ้นอยู่ในตลาดน้อย Volume ต่อวันน้อยมาก ทำให้การซื้อขายเป็นไปได้ลำบาก แต่ มันเหมาะกับคนที่คิดจะถือยาว เพราะมันขายยากนั่นเอง ยิ่งตอนตลาดหุ้นขาลงแบบนี้ Volume แทบไม่มี (อะไรที่มันมีข้อดีมันก็ต้องมีข้อเสียเป็นธรรมดา) และนี่เป็นสาเหตุที่คนไม่ค่อยเล่นตัวนี้กัน ถ้าจะให้ดีต้องทยอยซื้อ อย่าไปเคาะทีละหลายๆช่อง ค่อยๆเก็บไปเรื่อย เพราะความที่มันไม่มี Volume นี่แหละ ราคามันจะขึ้นลงได้ง่ายมาก

     ในตลาดมีหุ้นแบบนี้อยู่หลายตัวเหมือนกัน เช่น AEONTS , MBK สังเกตุว่าหุ้นพวกนี้ไม่มีโบรกเกอร์มาตามวิเคราะห์ เพราะมันไม่มี Volume ให้ซื้อขาย ดังนั้นตามหลักเหตุผล เราน่าจะได้หุ้นถูกกว่า หุ้นที่มีโบรกเกอร์มาเชียร์ซื้อ นี่แหละคือความน่าสนใจของหุ้นที่น่าเบื่อ หรือหุ้นอีกประเภทที่เราจะได้ถูกกว่านี้อีกก็คือ หุ้นที่มีโบรกเกอร์ตามวิเคราะห์ แต่ โบรกเกอร์เชียร์ขาย หุ้นพวกนี้จะลงแรงมาก เช่นตอนนี้ก็มี STA , BANPU , IRPC ถ้าเราวิเคราะห์ ศึกษาอย่างละเอียดแล้วว่ามันเป็นธุรกิจที่ดี เราก็เข้าไปทยอยซื้อได้ เช่นตั้งเป้าไว้ว่าจะซื้อ 1 ล้านบาท เราก็แบ่งเป็นก้อนละ 2.5 แสนบาท แล้ทยอยซื้อ ลงอีกซื้ออีก จนครบ แล้วพอ แต่ถ้ามันขึ้นมาก่อนแล้วยังซื้อไม่ครบ เราก็เก็บเงินก้อนนั้นไปรอซื้อหุ้นตัวใหม่ ตลาดหุ้นความน่ากลัวที่สุดมันคือความโลภ ฉะนั้นห้ามโลภ เด็ดขาด พูดง่ายแต่ทำยากจัง ^_^

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

หุ้นที่น่าเบื่อ

     ในแต่ละ Sector นั้นจะมีหุ้นที่น่าเบื่ออยู่อย่างน้อย 1 ตัว สังเกตุง่ายๆคือ PE จะต่ำกว่าตลาด และ Dividend จะสูงกว่าตลาด ยกตัวอย่างเช่น BBL อยู่ในกลุ่มแบงค์ขนาดใหญ่ แต่มี PE ตำกว่าแบงค์ใหญ่ที่เหลือ  และมี Dividend ที่สูงกว่า  แต่ตอนนี้พอตลาดปรับฐานลงมา PE ก็ลงมาอยู่ใกล้ๆกัน มันแสดงให้เห็นว่าหุ้นน่าเบื่อนั้นมีความปลอดภัยสูงกว่า เพื่อนๆในตลาด เพราะมัันไม่เป็นที่ต้องการของนักเล่นหุ้นทั่วไป ธรรมชาติของมนุษย์จะต้องการสิ่งที่มันน่าตื่นเต้น หวือหวา มากกว่าอะไรๆที่น่าเบื่อ ดังนั้นไม่แปลกที่หุ้นแบบนี้จะไม่ค่อยไปไหน แต่ ถ้ามันเป็นธุรกิจที่กำไรโตขึ้นตลอด สักวันนึง มันก็จะสะท้อนราคาที่แท้จริงออกมาเอง และการซื้อหุ้นที่น่าเบื่อนี้ส่วนใหญ่มักจะได้ราคาถูกกว่าความเป็นจริงด้วย เพราะไม่มีใครสนใจจะซื้อ ราคามันจึงไม่ไปไหน

     ผมอ่านหนังสือเล่มนึง เป็นแนวธรรมะ เค้าบอกว่าความสุขของมนุษย์ที่แท้จริงคือการอยู่กับความทุกข์อยู่กับปัญหาอย่างมีความสุข เป็นเรื่องที่พูดง่ายมาก แต่ทำยาก ถ้ามนุษย์เรียนรู้ที่จะอยู่กับความน่าเบื่อ ความทุกข์ ปัญหา อย่างมีความสุขได้ ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย กลับมาที่เรื่องหุ้น หุ้นที่น่าเบื่อ มีเยอะมากในตลาด แต่คนที่เข้ามาเล่นใหม่ๆจะหาไม่เจอ (ประสบการณ์โดยตรงของผม) ตอนที่ผมเข้ามาใหม่ๆ อย่างแรกที่ทำก็คืออ่านข่าวเกี่ยวกับหุ้นและเศรษฐกิจ อย่างแรกที่เจอในหัวข้อข่าวก็คือ หุ้นที่มันร้อนแรง หวือหวา ทั้งนั้นเลย อย่างเช่น IVL,PTL,JAS,อื่นๆอีกมากมาย จนตอนนั้นผมคิดว่าตลาดหุ้นมันมีหุ้นอยู่เท่านี้ แต่พอหลังๆมา เริ่มศึกษา เริ่มจริงจังมากขึ้น จึงได้เห็นหุ้นหลายๆตััวที่เป็นหุ้นที่น่าเบื่อ แต่น่าสนใจ ตอนนัั้นผมอ่านหนังสือของ ดร.นิเวศ ท่านมีหุ้นอยู่ตัวนึง คือ IRC ตอนนั้นผมงงมาก ตอนแรกนึกว่าเค้าเขียนไม่ครบ(นึกว่า IRPC) ที่ไหนได้มันคือบริษัทเกี่ยวกับยางรถมอเตอร์ไซค์ ผมก็เอากราฟมาเปิดย้อนหลัง ปรากฏว่า ราคาแทบไม่ไปไหนเลย ขึ้นลงช้ามากๆ ตอนนั้นผมไม่สนใจเลย ผมคิดว่ามันไม่น่าซื้อเลย จนกระทั่งได้เห็นเพื่อนของผมเปลี่ยนยางมอเตอร์ไซค์ ยี่ห้อ IRC แล้วเพื่อนคนนั้นก็บอกว่า ยางยี่ห้อนี้ใช้ดี ตกเย็นวันนั้น ผมกลับมานั่งหาบทวิเคราะห์เพื่อจะอ่านให้หมดเลย แต่ มันไม่มีเลยสักโบรกเดียว ตอนนั้นคิดว่ามันคงเป็นบริษัทที่ไม่เอาไหนจริงๆ ก็เลยไม่ได้ซื้อเลยสักหุ้นเดียว

     แต่ตอนนี้มันยังไม่สาย เพราะผ่านมา ราคาหุ้นก็ยังไม่ไปไหนเลย(กราฟอยู่ด้านล่าง) และตอนนี้อยู่ระหว่างการเอารายงานประจำปีมานั่งอ่าน ขอดีอย่างหนึ่งของหุ้นที่ราคาไม่ไปไหนเลย คือ เรามีเวลาศึกษานาน ดังนั้นเราจะใช้เหตุผล มากกว่า อารมณ์ในการซื้อ จริงๆถ้าหุ้นทุกตัวที่เราศึกษาก่อนจะซื้อ ระหว่างศึกษาเราไม่ควรเปิดราคาดูเลย เพราะมันทำให้ใจเราหวั่นไหว เราควรจะศึกษาให้รอบด้านก่อน แล้วถ้ามันเป็นธุรกิจที่พื้นฐานดี แต่เราคิดว่าราคามันถูกกว่าความเป็นจริง เราก็ซื้อ (พูดง่ายแต่ทำยากอีกแล้ว) ตอนนี้ในตลาดยังมีหุ้นแบบนี้อีกเยอะ ที่ราคาไม่ไปไหน แต่จะเล่นหุ้นแบบนี้ได้ ต้องอึดมาก และต้องไม่อิจฉาคนอื่นด้วย เพราะตอนที่หุ้นคนอื่นขึ้น บางทีหุ้นเราอาจจะไม่ขึ้นด้วย หุ้นเราจะขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมันกลายเป็นที่นิยมของตลาด มีตัวอย่างก็คือ JAS มันจะเป็นประมาณนี้แหละ วิ่งอยู่ประมาณ 0.50 บาทตั้งนาน อีกตัวก็ CPF กับ CPALL ที่ไม่ไปไหนมาตั้งนาน แต่พอขึ้นทีรวยกันมหาศาล

อันนี้กราฟของ หุ้น JAS

JAS นีวิ่งอยู่ในช่วง 0.20  - 0.80 ตั้งนาน (บางคนอาจจะคิดว่า ตั้ง 4 เท่าแหนะ) แต่ลองเทียบกับเมื่อไม่นานนี้สิ เกือบ 4 บาท คนละเรื่องเลย หุ้นตัวนี้วิ่งอยู่ในระดับต่ำ นานพอสมควร คือตอนนั้นมันยังไม่มีข่าวอะไรที่ดีมากมาย ออกจะเป็นหุ้นที่น่าเบื่อ และช่วงปี 2008 หุ้นก็ร่วงไปประมาณครึ่งนึง ถือว่าวัดใจกันจริงๆ และแล้วจุดปลดล็อกมันก็มาถึง ข่าว Internet Broadband หรือ VI เข้าซื้อหุ้น และอะไรอีกหลายอย่างมากมาย หุ้นตัวนี้ก็กลายเป็นที่สนใจของนักลงทุน และสุดท้ายมันก็เป็นไปตามกฏ ขึ้นมาแรง ก็ร่วงลงไปแรง

     หน้าที่ของเราก็คือถือหุ้นที่น่าเบื่อ รอจนมันน่าสนใจ และแล้วก็ขายตัวที่น่าสนใจนั้น ให้คนที่กำลังอยากได้ไป แล้วเราก็ไปหุ้นตัวใหม่ที่มีลักษณะแบบเดียวกันและถือต่อไปจนมันหมดความน่าเบื่อ  สมมติว่าคุณซื้อหุ้น JAS ได้ในปี 2006 ตอนนั้นมันน่าเบื่อมากๆ เพราะมันตกมาอยู่ใต้ 1 บาท และอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน สมมติว่าซื้อได้ทีี่ราคาเฉลี่ย 0.40 บาท และพอเดือน 7 ปี 2010 มันขึ้นแรงมาก พร้อมกับข่าวดีที่ออกมา ตอนนั้นคุณกำลังเตรียมหาหุ้นใหม่ พอครบ 1 เดือน คุณได้หุ้นที่คุณชอบแล้ว คุณก็ขายตอนเดือน 8 ปี 2010 ที่ราคาปิดของเดือน 8  1.33 บาท คุณจะได้กำไรประมาณ 300 % ใน 5 ปี (ไม่ต้องไปรอขายที่ Peak ของราคาหรอก เพราะเราไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน) ซึ่งมันก็เยอะมาก โอกาสแบบนี้คงไม่เกิดบ่อยๆ แตุ่้ถ้าเกิดทีคุณก็จะรวยอย่างไม่รู้เรื่องเลยทีเดียว

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

ตลาดหุ้นไม่ไปไหน

     ในตอนนี้ SET ไม่ไปไหนเลย วนเวียนอยู่แถวๆนี้ตลอด วันนี้พอมีเวลาว่าง พอเลยเอาบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ และ กูรูหลายๆท่าน มานั่งอ่าน มีทั้งบอกว่าจะหลุด 1000 จุด และ จะเกิน 1200 จุด จะเห็นว่ามันขัดแย้งกัน แล้วมันแปลว่าอะไร มันแปลว่าตอนนี้ตลาดไม่ถูก และ ไม่แพง เพราะความเห็นมันยังขัดแย้งอยู่ อันนี้คือภาพรวมของตลาด ทีนี้ลองมาดูหุ้นรายตัวกันบ้าง (อันนี้เจอมากับตัวเอง) หุ้น BCP หรือ บางจากปิโตรเลียมนั่นเอง ตัวนี้ผมซื้อมานานแล้ว (ราคาถูกกว่าตอนนี้พอสมควร) ตอนนี้ถ้าอ่านบทวิเคราะห์ บางโบรก ให้น้ำหนัก Hold บ้าง Buy บ้าง (ตอนนี้ราคาอยู่ประมาณ 22 บาท) แต่ตอนที่ราคาขึ้นไปประมาณ 25 บาท ตอนนั้น ทุกโบรกมีความเห็นเดียวกันว่า Buy นี่แหละคือความจริง ตอนนั้นคนมีความเห็นตรงกันว่าควรจะต้องซื้อราคามันจึงวิ่งขึ้นไปแรง สุดท้ายมันก็กลายเป็นฟองสบู่ขนาดย่อมๆนั่นเอง ทีตอนนี้ราคาถูกลง ไม่เห็นมีโบรกไหนเชียร์ซื้อเลย พื้นฐาน(จริงๆ)ของกิจการมันคงไม่เปลี่ยนภายใน 3-4 เดือนหรอก สิ่งที่เปลี่ยนจริงๆคือ Demand ของหุ้นตัวนี้มันลดลง เพราะตอนนี้ทีข่าวยกเลิกกองทุนน้ำมัน(ชั่วคราว) ทำให้คนคิดกันว่า บางจากจะขายแก๊สโซฮอลไม่ได้ จะกำไรลดลงจริงหรือไม่จริง ผมไม่รู้ แต่ผมก็ยังไม่คิดจะขายหุ้นตัวนี้อยู่ดี เพราะราคาน้ำมันดิบตอนนี้ยังอยู่ไม่เกิน 90 เหรียญ เลย(คราวที่แล้วก่อน Subprime ราคาวิ่งขึ้นไป 140 เหรียญ) หน้าที่ผมก็คือถือรอภาพรวมของตลาดน้ำมัน มันมี Demand ที่เกินความจริงก่อนแล้วผมจะขายแล้วย้ายไปเล่นหุ้นกลุ่มอื่นแทน กลุ่มที่มันมี Demand น้อยเหมือนน้ำมันในปัจจุบัน

     ณ เวลานี้ ก็มีหุ้นที่ราคาลงมาถูกในความคิดของผมก็คือ PTTEP กับ IRPC ว่ากันที่ PTTEP ก่อน ตัวนี้โตมาเร็วมาก ราคาหุ้น ภายในปีนี้ เคยขึ้นไปถึงเกือบ 200 (ถ้าจำไม่ผิด) แต่ตอนนี้ราคาเหลือ 163 บาท ลงมาพอสมควร เพราะ ข่าวที่บริษัทจะขายหุ้นเพิ่มทุน มูลค่ามหาศาล ทำให้ราคาหุ้นร่วงมาก่อนจะเพิ่มทุนซะอีก ถ้าดูกันในเรืองของ Demand & Supply ของหุ้น ตอนนี้ Supply คงมากกว่า Demand แล้ว ทีนี้มาดูที่ IRPC ตัวนี้ผมถือว่าถูกเลยทีเดียว ตัวนี้ลงมาจากประมาณ 6 บาท คือมันมีข่าวว่าจะปิดปรับปรุงโรงงาน ทำให้ขาดรายได้ไป และบวกกับ ธุรกิจปิโตรเคมีเป็นขาลง น้ำมันร่วงมาเยอะ ทำให้หุ้นตัวนี้มีราคาอย่างที่เห็น ตอนนี้เหลือ 4.76 บาท ที่ราคานี้ PE อยู่ที่ 11 บวกปันผล 3.5% ก็เป็นดีลที่น่าสนใจทีเดียว แต่มีข้อแม้ว่าเงินที่เอามาซื้อหุ้นตัวนี้ต้องเป็นเงินนอน เพราะผมเห็นมันซึมมานานแล้ว และที่สำคัญที่สุดคือใจ เพราะถ้าคุณทำใจไม่ได้ที่จะเห็นตัวแดงในพอร์ตของคุณ คุณก็ไม่ควรจะยุ่งกับหุ้นตัวนี้ พอซื้อเสร็จแล้ว มันจะไหลลงไปเรื่อยๆ แต่ที่ผมคิดว่าจะซื้อหุ้นตัวนี้เพราะผมไม่รู้ว่าจุดต่ำสุดของหุ้นตัวนี้มันอยู่ที่ไหน ผมซื้อมาที่ราคา 5.10 บาท และตอนนี้มันก็เป็นตัวเดียวของพอร์ตผมที่ขาดทุุน แต่ผมมั่นใจว่าในอนาคตมันต้องกำไร (เพราะขาดทุนผมไม่ขาย 555) แต่ตอนนี้จุดต่ำสุดมันอยู่ที่ไหน ผมก็ยังมองไม่เห็นเหมือนกัน ไว้มันขึ้นไปแล้ว แล้วผมจะมาบอกว่าจุดต่ำสุดของหุ้นตัวนี้มันอยู่ที่ไหน ... ^_^




 *ต้องศึกษาและเรียนรู้ด้วยคนเองนะครับ อันนี้ลิงค์ไปดาวโหลดรายงานประจำปี http://www.irpc.co.th/other/ir_home_th.html

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

เหตุผลกับการเล่นหุ้น

     พูดถึงเรื่องการเล่นหุ้น ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ค่อยชอบศึกษาก่อน (บางคนอาจจะบอกว่า ซื้อหนังสือมาอ่านก่อนแล้ว เล่มนึง!) อันนั้นเค้าไม่เรียกว่าศึกษาอย่างจริงจังนะครับ เค้าเรียกว่า ทำความเข้าใจ เท่านั้นเอง ที่เป็นอย่างนั้นมันมีเหตุผล คือ ธรรมชาติของมนุษย์จะไม่ชอบอ่าน ไม่ชอบศึกษาในสิ่งที่เราไม่เข้าใจเลย (ตอนนี้บางคนอาจจะเถียงว่า ยิ่งไม่รู้ยิ่งต้องศึกษาสิ) จริงๆแล้ว ลองทดสอบดูง่ายๆก็คือ ให้หนังสือมา 2 เล่ม เล่มที่ 1 เป็นเืรื่องที่คุณพอรู้บ้างเกี่ยวกับเนื้อหาในเรื่องนั้น กับอีกเล่มนึง คุณไม่เข้าใจอะไรเลย แม้กระทั่งชื่อเรื่อง คุณจะอ่านเล่มไหนก่อน  ฉะนั้น การเล่นหุ้นก็เหมือนกัน คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบศึกษาก่อน เพราะไม่เข้าใจอะไรเลย อ่านเสร็จเจอคำว่า PE ,PBV, DCF และอีกมากมาย ก็งงแล้ว คำแนะนำของผมคือ คุณอ่านไปเถอะ ไม่เข้าใจไม่เป็นไร แล้วลองเล่นดูเลยแต่ใช้เงินเริ่มต้นน้อยๆ ตรงนี้แหละสำคัญ เพราะที่ผมศึกษามาแทบไม่มีใครเลย ที่เล่นครั้งแรกแล้วรวยเลย(ส่วนใหญ่จะรวยชั่วคราว) พอคุณเริ่มเจ็บตัว เท่าั้นั้นแหละ คุณจะเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง หนังสือทุกเล่มเกี่ยวกับการลงทุนคุณจะมีพลังวิเศษในการอ่าน อ่านอย่างไม่เหนื่อยเลย (อันนี้เป็นเรื่องจริงจากชีวิตผม) แล้วคุณจะเจอแนวทางในการลงทุนของตัวเอง แต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกครับ

     หลังจากผมเจ็บตัวอย่างหนัก ในครั้งแรกๆ ตอนนั้นขาดทุนประมาณ 60-70% (สยองมาก) แต่ตอนนั้นผมโชคดีอยู่อย่างคือ ผมไม่ได้เงินทั้งหมดเล่น ทำให้ตอนนี้ผมเหลือเงินเพื่อมาเริ่มต้นใหม่ได้ และมันก็คืนทุนไปแล้ว ตอนนั้นผมขาดทุนเยอะมาก จนหยุดเล่นไประยะหนึ่ง แต่ตอนที่หยุดเล่นนั้น ผมไม่ได้ยอมแพ้ ผมพยายามศึกษาที่จะกลับมาเล่นให้ได้ ความรู้สึกในตอนนั้นต่างกับการศึกษาครั้งแรกมาก ครั้งที่สองนี้ยอมรับว่าใช้เวลาในการอ่านต่อวันเยอะมาก ศึกษาอย่างละเอียด เค้าดูเว็บบอร์ดเยอะมากๆ สุดท้ายก็มานั่งวิเคราะห์ และสรุปผลที่ได้ศึกษามา วิธีการวิเคราะห์ของผมอาจจะแปลกกว่าคนอื่น แต่มันได้ผลจริง(ลองใช้ดู) คือ พอผมอ่านเสร็จผมก็จะมาเล่าให้คนรอบข้างฟัง(คนรู้ใจ) พอเล่าไปเรื่อยๆมันเหมือนการได้อธิบายให้ตัวเองฟัง พร้อมกับการคิดแบบเป็นตัวของตัวเอง มันทำให้ผมได้แนวคิดใหม่ๆ ทุกครั้งที่ผมเล่า แต่คุณต้องแน่ใจว่าคนรู้ใจของคุณต้องไม่เบื่อที่จะฟัง (ผมโชคดีตรงที่เค้าไม่เบื่อ)

     และแล้วผมก็ได้พบอยู่อย่างเกี่ยวกับตลาดหุ้น คือ คนที่เข้ามาเล่นส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นคนที่ฉลาดและเก่งขนาดไหน มีแนวโน้มว่าจะขาดทุนมากถ้าไม่มีเหตุผลพอ เรื่องง่ายๆที่ผมพลาดมากๆ และผมจะจำตลอดไปคือ ตอนที่ผมซื้อหุ้นครั้งแรก ผมอ่านข่าวหนังสือพิมพ์มา เจอหุ้นตัวนึงมีข่าวดีสุดๆ และพออ่านบทวิเคราะห์ฺของโบรกเกอร์ มันทำให้ผมจินตนาการว่า บริษัทนี้มีอนาคตที่สุดยอดมาก ตอนนั้นหาอะไรที่ร้ายไม่ได้เลย ผมจึงตัดสินใจซื้อ ผ่านไปไม่นาน ราคาก็ร่วงเละเทะ (ตอนนั้นจำได้่ว่า PE ประมาณ 20 แล้ว Dividend ก็ 1% กว่าๆ) ตอนแรกผมไม่ยอมขาดทุน เพราะคิดว่าเด๋วก็ขึ้น สุดท้ายพอร่วงมาเยอะๆ ขาดทุนเละเทะ เลยครับ เพราะทำใจถือต่อไม่ได้ บทเรียนครั้งนั้นทำให้ผมตาสว่าง จริงๆมันเป็นหลัก ตรรกศาสตร์ง่ายๆเลยคือ เมื่อทุกอย่างมันดี ทุกคนก็ซื้อกันหมดแล้ว ราคามันก็เลยแพง และหลังจากนั้น คนที่เค้ากำไรเยอะเค้าก็ Sell on Fact ราคาที่แพงเว่อร์นั้น มันก็ร่วง พอร่วงมันก็จะมีข่าวมา Support จากนั้นก็ร่วงกระจาย(สังเกตุดูดีๆ ข่าวมันจะมาหลังราคาหุ้นวิ่งเสมอ) มันเป็นเหตุเป็นผลง่ายๆเลย ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นคิดไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะความโลภบังตา

     ตลาดหุ้นเป็นตลาดที่คนส่วนใหญ่คิดว่าจะเข้ามาหาเงินง่ายๆ ดังนั้นไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่จะเจ๊งออกไป คนที่อยู่ในรอดในตลาดหุ้นนั้น ส่วนใหญ่เค้าเทพกันทั้งนั้น ดังนั้นถ้าคุณไม่ทำการบ้านมาดีพอ และมีจิตใจที่ไม่มั่นคงพอ คุณตกเป็นเหยื่อของเขาแน่นอน คนส่วนใหญ่ชอบเชื่อเวลาขาใหญ่มาออกข่าวว่า กำลังดูหุ้นตัวนี้อยู่ หรือ เก็บไปแล้วส่วนหนึ่ง กำลังจะเก็บเพิ่ม คุณลองคิดด้วยเหตุผลดู ถ้าเค้าจะเก็บเพิ่มจริงๆ เค้าจะออกมาบอกทำไม ในเมื่อถ้าเค้าบอกแล้วคนเชื่อ หุ้นตัวนั้นจะวิ่งจนเค้าต้องซื้อแพงขึ้น (คงไม่มีใครอยากซื้อของแพง จริงมั๊ย?) วิธีที่ถูกต้องในการเล่นหุ้นคือ คุณต้องศึกษาพื้นฐานของบริษัทจริงๆ และซื้อเวลาที่มันถูกเท่านั้น การจะบอกได้ว่าถูก ก็คือคุณต้องศึกษาเองเท่านั้น คุณถึงจะบอกได้ว่ามันถูก