ในแต่ละ Sector นั้นจะมีหุ้นที่น่าเบื่ออยู่อย่างน้อย 1 ตัว สังเกตุง่ายๆคือ PE จะต่ำกว่าตลาด และ Dividend จะสูงกว่าตลาด ยกตัวอย่างเช่น BBL อยู่ในกลุ่มแบงค์ขนาดใหญ่ แต่มี PE ตำกว่าแบงค์ใหญ่ที่เหลือ และมี Dividend ที่สูงกว่า แต่ตอนนี้พอตลาดปรับฐานลงมา PE ก็ลงมาอยู่ใกล้ๆกัน มันแสดงให้เห็นว่าหุ้นน่าเบื่อนั้นมีความปลอดภัยสูงกว่า เพื่อนๆในตลาด เพราะมัันไม่เป็นที่ต้องการของนักเล่นหุ้นทั่วไป ธรรมชาติของมนุษย์จะต้องการสิ่งที่มันน่าตื่นเต้น หวือหวา มากกว่าอะไรๆที่น่าเบื่อ ดังนั้นไม่แปลกที่หุ้นแบบนี้จะไม่ค่อยไปไหน แต่ ถ้ามันเป็นธุรกิจที่กำไรโตขึ้นตลอด สักวันนึง มันก็จะสะท้อนราคาที่แท้จริงออกมาเอง และการซื้อหุ้นที่น่าเบื่อนี้ส่วนใหญ่มักจะได้ราคาถูกกว่าความเป็นจริงด้วย เพราะไม่มีใครสนใจจะซื้อ ราคามันจึงไม่ไปไหน
ผมอ่านหนังสือเล่มนึง เป็นแนวธรรมะ เค้าบอกว่าความสุขของมนุษย์ที่แท้จริงคือการอยู่กับความทุกข์อยู่กับปัญหาอย่างมีความสุข เป็นเรื่องที่พูดง่ายมาก แต่ทำยาก ถ้ามนุษย์เรียนรู้ที่จะอยู่กับความน่าเบื่อ ความทุกข์ ปัญหา อย่างมีความสุขได้ ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย กลับมาที่เรื่องหุ้น หุ้นที่น่าเบื่อ มีเยอะมากในตลาด แต่คนที่เข้ามาเล่นใหม่ๆจะหาไม่เจอ (ประสบการณ์โดยตรงของผม) ตอนที่ผมเข้ามาใหม่ๆ อย่างแรกที่ทำก็คืออ่านข่าวเกี่ยวกับหุ้นและเศรษฐกิจ อย่างแรกที่เจอในหัวข้อข่าวก็คือ หุ้นที่มันร้อนแรง หวือหวา ทั้งนั้นเลย อย่างเช่น IVL,PTL,JAS,อื่นๆอีกมากมาย จนตอนนั้นผมคิดว่าตลาดหุ้นมันมีหุ้นอยู่เท่านี้ แต่พอหลังๆมา เริ่มศึกษา เริ่มจริงจังมากขึ้น จึงได้เห็นหุ้นหลายๆตััวที่เป็นหุ้นที่น่าเบื่อ แต่น่าสนใจ ตอนนัั้นผมอ่านหนังสือของ ดร.นิเวศ ท่านมีหุ้นอยู่ตัวนึง คือ IRC ตอนนั้นผมงงมาก ตอนแรกนึกว่าเค้าเขียนไม่ครบ(นึกว่า IRPC) ที่ไหนได้มันคือบริษัทเกี่ยวกับยางรถมอเตอร์ไซค์ ผมก็เอากราฟมาเปิดย้อนหลัง ปรากฏว่า ราคาแทบไม่ไปไหนเลย ขึ้นลงช้ามากๆ ตอนนั้นผมไม่สนใจเลย ผมคิดว่ามันไม่น่าซื้อเลย จนกระทั่งได้เห็นเพื่อนของผมเปลี่ยนยางมอเตอร์ไซค์ ยี่ห้อ IRC แล้วเพื่อนคนนั้นก็บอกว่า ยางยี่ห้อนี้ใช้ดี ตกเย็นวันนั้น ผมกลับมานั่งหาบทวิเคราะห์เพื่อจะอ่านให้หมดเลย แต่ มันไม่มีเลยสักโบรกเดียว ตอนนั้นคิดว่ามันคงเป็นบริษัทที่ไม่เอาไหนจริงๆ ก็เลยไม่ได้ซื้อเลยสักหุ้นเดียว
แต่ตอนนี้มันยังไม่สาย เพราะผ่านมา ราคาหุ้นก็ยังไม่ไปไหนเลย(กราฟอยู่ด้านล่าง) และตอนนี้อยู่ระหว่างการเอารายงานประจำปีมานั่งอ่าน ขอดีอย่างหนึ่งของหุ้นที่ราคาไม่ไปไหนเลย คือ เรามีเวลาศึกษานาน ดังนั้นเราจะใช้เหตุผล มากกว่า อารมณ์ในการซื้อ จริงๆถ้าหุ้นทุกตัวที่เราศึกษาก่อนจะซื้อ ระหว่างศึกษาเราไม่ควรเปิดราคาดูเลย เพราะมันทำให้ใจเราหวั่นไหว เราควรจะศึกษาให้รอบด้านก่อน แล้วถ้ามันเป็นธุรกิจที่พื้นฐานดี แต่เราคิดว่าราคามันถูกกว่าความเป็นจริง เราก็ซื้อ (พูดง่ายแต่ทำยากอีกแล้ว) ตอนนี้ในตลาดยังมีหุ้นแบบนี้อีกเยอะ ที่ราคาไม่ไปไหน แต่จะเล่นหุ้นแบบนี้ได้ ต้องอึดมาก และต้องไม่อิจฉาคนอื่นด้วย เพราะตอนที่หุ้นคนอื่นขึ้น บางทีหุ้นเราอาจจะไม่ขึ้นด้วย หุ้นเราจะขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมันกลายเป็นที่นิยมของตลาด มีตัวอย่างก็คือ JAS มันจะเป็นประมาณนี้แหละ วิ่งอยู่ประมาณ 0.50 บาทตั้งนาน อีกตัวก็ CPF กับ CPALL ที่ไม่ไปไหนมาตั้งนาน แต่พอขึ้นทีรวยกันมหาศาล
อันนี้กราฟของ หุ้น JAS
JAS นีวิ่งอยู่ในช่วง 0.20 - 0.80 ตั้งนาน (บางคนอาจจะคิดว่า ตั้ง 4 เท่าแหนะ) แต่ลองเทียบกับเมื่อไม่นานนี้สิ เกือบ 4 บาท คนละเรื่องเลย หุ้นตัวนี้วิ่งอยู่ในระดับต่ำ นานพอสมควร คือตอนนั้นมันยังไม่มีข่าวอะไรที่ดีมากมาย ออกจะเป็นหุ้นที่น่าเบื่อ และช่วงปี 2008 หุ้นก็ร่วงไปประมาณครึ่งนึง ถือว่าวัดใจกันจริงๆ และแล้วจุดปลดล็อกมันก็มาถึง ข่าว Internet Broadband หรือ VI เข้าซื้อหุ้น และอะไรอีกหลายอย่างมากมาย หุ้นตัวนี้ก็กลายเป็นที่สนใจของนักลงทุน และสุดท้ายมันก็เป็นไปตามกฏ ขึ้นมาแรง ก็ร่วงลงไปแรง
หน้าที่ของเราก็คือถือหุ้นที่น่าเบื่อ รอจนมันน่าสนใจ และแล้วก็ขายตัวที่น่าสนใจนั้น ให้คนที่กำลังอยากได้ไป แล้วเราก็ไปหุ้นตัวใหม่ที่มีลักษณะแบบเดียวกันและถือต่อไปจนมันหมดความน่าเบื่อ สมมติว่าคุณซื้อหุ้น JAS ได้ในปี 2006 ตอนนั้นมันน่าเบื่อมากๆ เพราะมันตกมาอยู่ใต้ 1 บาท และอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน สมมติว่าซื้อได้ทีี่ราคาเฉลี่ย 0.40 บาท และพอเดือน 7 ปี 2010 มันขึ้นแรงมาก พร้อมกับข่าวดีที่ออกมา ตอนนั้นคุณกำลังเตรียมหาหุ้นใหม่ พอครบ 1 เดือน คุณได้หุ้นที่คุณชอบแล้ว คุณก็ขายตอนเดือน 8 ปี 2010 ที่ราคาปิดของเดือน 8 1.33 บาท คุณจะได้กำไรประมาณ 300 % ใน 5 ปี (ไม่ต้องไปรอขายที่ Peak ของราคาหรอก เพราะเราไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน) ซึ่งมันก็เยอะมาก โอกาสแบบนี้คงไม่เกิดบ่อยๆ แตุ่้ถ้าเกิดทีคุณก็จะรวยอย่างไม่รู้เรื่องเลยทีเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น