ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา แทบไม่มีข่าวอย่างอื่นเลย นอกจากข่าวน้ำท่วม และผมสังเกตุเห็นว่า ในข่าวนั้นจะมีภาพของความช่วยเหลือ ที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกที่ คนที่มีมากก็บริจาคมาก คนที่มีน้อยก็บริจาคน้อย ส่วนคนที่ไม่มีก็มาออกแรงช่วยกัน (ขอยืมคำพูดคุณตันมาใช้ ^_^) สุดท้ายมันก็เลยออกมาเป็นภาพแห่งความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่ พูดถึงคุณตัน อิชิตัน โรงงานผลิตชาเขียวอิชิตัน ที่คุณตันเพิ่งสร้างใหม่ ถูกน้ำท่วมเสียหายหมด โรงงานแห่งนี้ยังสร้างไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ และสิ่งที่ผมเห็นแล้วรู้สึกว่า นี่แหละ คนที่มีน้ำใจจริงๆ คือ สิ่งที่อยู่ในสายพานการผลิต (ทั้งที่โรงงานยังไม่เสร็จเลย) คือ น้ำเปล่า ที่คุณตันใช้เครื่องของโรงงานผลิตเพื่อเตรียมนำไปบริจาค นอกจากนี้คุณตันยังบริจาคเงินอีกมามายมหาศาล ผมรู้สึกภูมิใจมากที่เงินของผมที่ซื้อชาเขียวอิชิตัน ส่วนหนึ่งได้ถูกนำไปช่วยเหลือเพื่อร่วมชาติในตอนนี้ ผมว่าการกระทำของคุณตันครั้งนี้ ได้ใจหลายๆคนไปเต็มๆ
พูดถึงตลาดหุ้น สุดท้ายหลักการของเหตุผลก็ใช้ได้เสมอ คือ เมื่่อตลาดมีความกลัวมากเกินไป ณ เวลานั้นคนมีของอยากขาย คนไม่มีของอยากซื้อ ราคามันก็เลยลงต่ำไปเรื่อยๆ แต่เมื่อไรที่ราคาลงไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่รายใหญ่เค้าพอใจ ราคาก็จะกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อย่างตอนนี้คงอธิบายยากว่า อยู่ดีๆทำไมฝรั่งกลับมาซื้อซะอย่างงั้น 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาฝรั่งซื้อไปแล้ว 13000 ล้านบาท และดัชนีก็ขึ้นมาเป็น 955.81 จุด เป็นที่เรียบร้อย แต่หลังจากนี้ไม่มีใครบอกได้แน่นอนว่าตลาดจะลงต่อไปรึเปล่า สำหรับผม ผมมองระยะสั้นว่ามันขึ้นมาค่อนข้างแรง น่าจะมีลงไปบ้าง เพราะลองคิดในมุมถ้าคุณเป็นฝรั่ง คุณคงไม่อยากซื้อราคาสูงขึ้นเรือยๆแน่ๆ ในระยะกลาง ผมมองว่ามันไปได้อยู่ เพราะอารมณ์ของคนในตลาดตอนนี้ค่อนข้างกลัว ดูได้จากบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ และ ตามเว็บบอร์ดหลายๆที่ บวกกับข่าวน้ำท่วมในตอนนี้ ซึ่งแต่ละคนก็ประเมิณความเสียหายเป็นมูลค่ามหาศาลมาก ดังนั้นผมจึงคิดว่า ตอนที่คนกลัวนี่แหละหุ้นจะถูก เพราะไม่มีใครอยากซื้อ
เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ สอนให้ผมรู้ว่า การที่เราทำลายธรรมชาติมากเกินไป สักวันหนึ่งธรรมชาติก็จะกลับมาเอาคืนเรา เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติ ไม่ใช่เรียนรู้ที่จะต่อสู้กับธรรมชาติ เหมือนกับธรรมชาติของการลงทุน มีบางอย่างที่เป็นความคิดที่เรียบง่ายมาก ความคิดนี้ถูกสอนมาตั้งแต่บรรพบุรุษของผม คือ ความไม่มีหนี้คือลาภอันประเสริฐ บริษัทที่มีหนี้มาก โอกาสที่ธุรกิจจะโตเนื่องจากเงินทุนก็มีมาก แต่อย่าลืมว่า ธุรกิจต้องจ่ายดอกเบี้ยตลอดเวลา และ เมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ธุรกิจนั้นอาจจะล้มได้เลย เทียบกับบริษัทที่มีหนี้น้อย เราสามารถอุ่นใจได้อย่างนึงว่า ถึงบริษัทจะไม่โตแบบก้าวกระโดด แต่อย่างน้อยก็คงไม่ล้ม สามารถถือได้อย่างสบายใจ ไม่ว่าช่วงนั้นบริษัทจะประสบกับภัยธรรมชาติ ต้องหยุดการผลิตชั่วคราว มันอาจทำให้กำไรลดลงบ้าง แต่ไม่ถึงกับเจ๊ง ถ้าเทียบกับบริษัทที่มีหนี้มาก ต้องมีภาระการจ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน อย่างไหนจะสบายใจกว่ากัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น