แนวในการเล่นหุ้นหลักๆมี 3 แนว 1.VI 2. Thecnical 3.มั่ว จากประสบการณ์ของผม แนวมั่วน่าจะมีมากที่สุด(ดูจากเวบบอร์ด) ต่างๆยกตัวอย่างแนวมั่ว คือหุ้น ABC มีผลประกอบการณ์คาดว่าจะโต 25% จากปีที่ผ่านมา และอนาคตของกิจการนี้ก็ดูดี ราคาหุ้น ณ วันที่ซื้อคือ 20 บาท หลังจากนั้นผ่านไป
ราคาหุ้นก็ตกลงมาเนื่องจากการปรับฐาน ราคาหุ้นลงเหลือ 15 บาท คนที่เล่นแนวมั่วจะเข้ามาถามความเห็นจากกูรูทั้งหลายว่า ควร Cut Loss ที่เท่าไรดี(นี่คือตัวอย่างการเข้าแบบ VI แต่ออกแบบ Thecnical) หรืออีกตัวอย่างก็คือ เข้าแบบ Thecnical แต่ออกแบบ VI เช่นหุ้น XYZ ราคาทำ Bullish Divergence และ RSI ผ่าน 30 ขึ้นมาแล้ว ซื้อที่ราคา 10 บาท ตั้ง Cut Loss ไว้ 9 บาทสุดท้ายไม่เป้นไปอย่างที่คิด ราคาลงมาเหลือ 8 บาท ตอนนั้นคนที่เล่นแนวมั่วว่า "เอาน่า หุ้นตัวนี้พื้นฐานดี ไม่เป็นไรหรอกเด๋วก็ขึ้น"
สรุปว่าหลักสำคัญของการเล่น VI คือวิเคราะห์พื้นฐานทางธุรกิจ และดูพื้นฐานของธุรกิจนั้นในอนาคตด้วย และเมื่อซื้อแล้วหุ้นลง เราก็ควรจะซื้อเพิ่มเมื่อมีเงินเพราะมันเป็นธุรกิจที่เราศึกษามาอย่างดีแล้ว และเรารู้ว่ามันต่ำกว่ามูลค่าของมันจริงๆ ราคายิ่งลงมาเรายิ่งควรซื้อเพิ่มเพราะมันถูกลงเรื่อยๆแต่ Thecnical มันคือการเอาสถิติมาทำนายรูปแบบของราคา ดังนั้นโอกาสที่จะไม่เป็นอย่างที่สัญญานต่างๆบอก ก็มีโอกาสสูง คือ Thecnicalมันบอกได้ว่ามีโอกาสขึ้นมากกว่าลง เท่านั้น! ดังนั้นถ้ามันผิดทางก็ Cut Loss ออกไป ไม่ใช่ Let Loss Run
ข้อสังเกตุอย่างหนึ่งของคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นคือ ต้องการที่จะรวย(เร็ว) แล้วสุดท้ายก็เจ๊งไปส่วนใหญ่ ถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็เข้ามาด้วยอารมณ์ไม่อยากรวย คือเล่นเหุ้นเพราะอยากมีพอกินพอใช้ ไม่จำเป็นต้องรวย แต่ขอให้เงินก้อนนี้มันเลี้ยงเราได้ ก็พอใจแล้ว โดยปกติกูรูแนว VI หลายๆท่านบอกไว้ว่าให้หวังกำไรจากตลาดหุ้น 15% ต่อปีก็ถือว่าหรูมากแล้ว (ตลาดหุ้น DJI ระยะยาวเฉลี่ยนประมาณ 10% และ Warren Buffet 29%แต่ขณะนี้ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2554 ไม่รู้ว่าผลตอบแทนของ Warren จะเหลือเท่าไร)
จะเล่นแนวไหน ก็ต้องลองดู เพราะสุดท้ายการอ่านก็ช่วยคุณไม่ได้ 100% ไม่งั้นคงไม่มีคนขาดทุนจากการเล่นหุ้น ข้อแนะนำที่ดีที่สุด ก็คือลองเล่นเลย แล้วคุณจะรู้ว่าแนวไหนเหมาะกับตัวคุณ สำคัญที่อย่ามั่ว!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น