ในตอนที่หุ้นปรับตัวลง สังเกตุมั๊ยว่าเมื่อหุ้นตกไปเรื่อยๆ ข่าวร้ายก็จะออกมาก Support ไปเรื่อยๆ และโบรกเกอร์(หลายๆที่ และ หลายๆประเทศ) ก็จะออกบทวิเคราะห์มา Downgrade หุ้นลง และบวกกับแรงเเทขายมหาศาล(มีทั้งคนที่อ่านแล้วเชื่อ และคนที่ต้องการใช้คนอื่นเชื่อ เป็นคนขาย) ผลลัพธ์ก็คือ ราคาหุ้นก็ร่วงกระจาย เท่าที่ผมสังเกตุมา เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดตอนที่ตลาดปรับฐานด้วย ผมคิดว่าเหตุผลน่าจะมาจาก เวลาที่ปรับฐาน ราคาหุ้นก็ร่วงไปมากอยู่แล้ว(ง่ายต่อการทุบ) จะมีนักเล่นหุ้นที่เทรดไวมาก จะตกใจและขายออกไปก่อน ทีนี้พวกที่ซื้อหุ้นโดยใช้มาร์จินก็เริ่มเดือดร้อน ทีนี้พอโบรกเกอร์ออกบทวิเคราะห์ Downgrade หุ้นออกมาอีก บวกกับแรงขายอันมหาศาล ผลลัพธ์ก็ึิคือ หุ้นร่วง และพอร่วงถึงจุดหนึ่ง พวกที่เล่นมาร์จินก็จะโดน Force Sell ทีนี้ก็ร่วงหนักไปอีก และพวกที่ไม่มีหุ้นแต่อยากได้กำไร ก็ Short หุ้นซะ และแล้ว พอทุกคนร่วมมือกัน ราคาก็ิ่ดิ่งลงสู่เหว กลายเป็นโศกนาฏกรรมร้ายแรงสำหรับนักลงทุน
ผมในฐานะที่ชอบถือยาว ผมชอบเหตุการณ์แบบนี้มาก ไม่ว่าผมจะมีหุ้นตัวนั้นอยู่หรือไม่(บ้าไปแล้ว) เหตุผลคือ การที่อยู่เฉยๆ แล้วราคาจะลงหนักขนาดนี้ คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น นี่แหละเป็นโอกาสทองในการเข้าซื้อหุ้น เพราะมันถูกมาก ส่วนใหญ่เมื่อเกิด Panic Sell ราคาหุ้นมักจะถูกกว่าความเป็นจริง หรือคิดง่ายๆก็คือ Downside มันลดลงกว่าเดิมแล้ว คนที่มีหุ้นอยู่ก็อย่าไปเครียด เพราะเมื่อมีคนทุบ มันหมายความว่าเค้ากำลังจะเข้าไปเก็บ(ถูกมั๊ย ไม่งั้นจะลงทุนทุบทำไม) ถ้าเค้าเก็บจนพอใจแล้ว เค้าก็จะลากมันขึ้นไปเอง และส่วนใหญ่มันก็จะเกินราคาที่วิ่งอยู่ก่อนทุบซะด้วย เพราะ มันเป็นจิตวิทยานะสิ ลองคิดดู สมมติว่าคุณถือหุ้นตัวที่โดนทุบนี้อยู่ ตอนมันราคาปกติ 5 บาท เค้าทุบกันจนเหลือ 2 บาท สุดท้ายเค้าลากกับขึ้นมา 5 บาท คุณว่าตอนนั้นคุณจะขายมั๊ย คุณว่าคนส่วนใหญ่(ที่เจ็บตัวมา)คิดว่ามันจะขึ้นเกินเดิมหรือ ? แสดงว่าตอน 5 บาท Volume ขายจะเยอะมาก และถ้าผมเป็นเจ้ามือ ผมคงไม่ออกตอนนั้น เพราะว่าผมมีหุ้นเยอะ คงออกไม่ทันรายย่อย ผมก็จะรอให้มันลงมาสักนิดนึงก่อน หลังจากนั้นผมจะเก็บเพิ่มพร้อมกับปล่อยข่าวดีออกไป พอหลุดช่วง 5 บาทไปได้ บวกกับข่าวดีมากมายในตลาด ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่น่ากลัวที่สุด เพราะเจ้ามือจะสามารถเลือกกำไรที่อยากได้ และแมงเม่าที่เข้าไปตอนนั้นก็เละ !
วิธีในการช่วยให้คุณกำไรจาก Case นี้คือ อย่างแรกเงินที่คุณเอามาซื้อหุ้น ต้องเป็นเงินเย็น สอง จิตใจคุณต้องมั่งคงพอ และอย่างที่สำคัญ ก่อนซื้อให้คุณคิดว่าเงินก้อนนี้ถ้าเสียไปก็ไม่เป็นไร(บ้าอีกแล้ว) เพราะุถ้าคุณไม่คิดแบบนี้ มันจะทำให้คุณกลัว และขายขาดทุนไปในที่สุด ตอนนี้มันมีแนวทางนึงที่ผมลองใช้แล้วมัน Work คือ สมมติผมมีเงิน 500,000 (เป็นเงินเย็นนะ) ผมจะแบ่งไว้เป็น 10 ก้อน ก้อนละ 50,000 หลังจากนั้นผมจะคอยดูข่าว พอมันเริ่มเข้า Case แบบนี้ ผมก็จะโยนเงินเข้าไป 1 ก้อน แล้วไม่ดูราคาเลย และผมก็จะหาหุ้นแบบนี้ไปเรื่อยๆและทำแบบเดียวกัน โดยตั้งกฏทองเลยว่า ไม่ขายขาดทุน คุณจะสังเกตุได้ว่า หุ้นทุกตัวของคุณมี Dowside แค่ 1 แสนบาท แต่ที Upside ไม่จำกัด ผมว่าถ้าตามหลักสถิติแล้ว โอกาสชนะมันมีมากกว่า และด้วยราคาหุ้นที่ลงมาจากปกติด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้ Downside เนื่องจากราคาหุ้นเองน้อยลงไปอีก แล้วคุณก็ถือต่อไปเรื่อยๆ..... ก็กำไร แต่มันมี Trick อยู่นิดนึงคือ หุ้นที่เลือกนั้นควรจะเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลบ้าง(อย่างน้อยก็น่าจะ 3% และจ่ายสม่ำเสมอ) + เป็นหุ้นที่มี Market Cap. พอสมควร และสุดท้าย(สำคัญที่สุด) เราต้องศึกษาว่ามันมีอนาคตหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น หุ้น TT&T อันนี้เป็นหุ้นโทรศัพท์บ้านตอนนี้แทบไม่เหลืออะไรแล้วเพราะคนใช้มือถือกันหมด(ลองศึกษาดู) ทีนี้เราพูดเวลาซื้อแล้ว เรามาพูดถึงเวลาที่จะขายบ้างดีกว่า ผมจะขายเมื่อราคาหุ้นมันขึ้นแบบ Over มากๆ ตอนนั้นจะมีแต่ข่าวดีเต็มไปหมด PE จะขึ้นไปมากกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดประมาณ 2-3 เท่า ปันผลจะวิ่งเข้าใกล้ 0% ปันผลนี่สำคัญ ถ้าหุ้นขึ้นไปด้วยปัจจัยพื้นฐาน ปันผลก็ต้องขึ้นตามไปด้วย เพราะธุรกิจมันดีขึ้น แต่ถ้าหุ้นขึ้น แต่ปันผลเท่าเดิม(หรือกำไรเท่าเดิม)มันก็ถือว่าเป็นสัญญานเตือนอย่างหนึ่งว่ามันเริ่มจะ Overvalue แล้ว และในเวลานั้น Volume จะมากกว่าเวลาปกติมาก
ตอนนี้ผมลองทำแบบนี้ดูแล้วมัน Work แต่การลงทุนทุกชนิดมันมีความเสี่ยง วิธีนี้เป็นเพียงแนวคิดของผม ซึ่งมันต้องใช้ระยะเวลาในการพิสูจน์ว่าในระยะยาวแล้ว ผลตอบแทนมันสามารถเอาชนะค่าเฉลี่ยของตลาดได้หรือไม่ นักลงทุนที่ดีควรจะศึกษา และ หาแนวทางที่เหมาะกับตัวเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น